หลวงพระบาง สบายดีครับ
สวัสดีครับ ผมเปียง ในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสจองตั๋วเครื่องบินไปโผล่ที่ประเทศเพื่อนบ้านใกล้ๆมาครับ รอบนี้ผมไป “หลวงพระบาง” ประเทศลาว เป็นเมืองที่ผมอยากลองไปเยือนดูสักครั้งมาพักใหญ่ๆแล้ว ใครๆก็บอกว่าที่นี่เป็นเมืองที่น่ารัก ผมเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าน่ารักที่ว่าเนี่ย น่ารักขนาดไหนกันนะ เผลอแป๊บเดียว ผมก็โผล่มาอยู่ที่หลวงพระบางเสียแล้ว ครั้งนี้ผมพกกล้องคู่ใจของผม Olympus OMD EM5 Mark II กับเลนส์ M.Zuiko 12-200 F3.5-6.3 เลนส์ตัวเดียวมาในทริปนี้
หลวงพระบางพิเศษยังไง?
หลวงพระบางพิเศษกว่าที่ไหนๆครับ น่าแปลกใจที่แม้จะถึงปี 2019 แล้ว แต่เมืองแห่งนี้ยังเหมือนราวกับโดนหยุดเวลาไว้เหมือนสมัยก่อนทั้งๆที่เป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลก ในย่านเมืองเก่าของที่นี่ ครอบคลุมพื้นที่ราว 2 ตารางกิโลเมตร ได้รับการ “ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก” ไม่ใช่แค่เพียงสถานที่ แต่หมายถึงทั้งเมืองเลยครับ และยังได้รับการยกย่องจากองค์การ UNESCO ให้เป็น “เมืองที่ได้รับการอนุรักษ์เอาไว้อย่างดีที่สุดในเอเชียอาคเนย์” (The best preserved city in South-East Asia) เพราะที่นี่มีความโดดเด่นในด้านศิลปะวัฒนธรรมที่ผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมลาวและฝรั่งเศส ทำให้ปัจจุบันเราจะไม่เห็นตึกสูง หรือวิทยาการใหม่ๆใดๆ ที่เข้ามาแล้วทำลายบรรยากาศสภาพบ้านเมืองแบบดั้งเดิม ทุกอย่างได้รับการทำนุบำรุงเป็นอย่างดี ทำให้สิ่งเดิมๆที่มีอยู่นั้นยังคงสวยงามครบถ้วนเหมือนสมัยก่อน วัดวาอารามที่มีอยู่มากมายในสภาพสมบูรณ์ และบ้านเมืองยังคงไว้ซึ่งสิ่งก่อสร้างแบบดั้งเดิม Colonial Style ที่จะพบได้ในเมืองทุกมุมถนน
ไม่เพียงเท่านั้น หลวงพระบาง นอกจากจะสวยงามในแง่ของวัฒนธรรมแล้ว ด้วยเรื่องที่นักท่องเที่ยวยังไม่ได้พลุกพล่านมากนัก ทำให้ที่นี่จึงกลายเป็นเมืองที่ชิลมากๆ ทั้งในกลางวันและกลางคืน ที่นี่แหละครับ นิยามของชีวิตช้าๆที่แท้จริง ตอนเช้าตักบาตรข้าวเหนียว ตอนสายไปหาของแบบ local ทาน และต่อด้วยการนั่งจิบกาแฟในคาเฟ่ดีๆซักแห่งที่หาได้ทั่วไปในตัวเมือง ตอนบ่ายไปเดินดูงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์และวัดวาอารามต่างๆ ตกเย็นเดินที่ถนนคนเดิน ทานหมูกระทะและ hang out ที่บาร์ในช่วงเย็น ที่นี่จึงเหมาะกับการมาพักผ่อนอย่างยิ่ง จะสั้นหรือยาวก็ชิลได้ในรายละเอียดของมันทั้งนั้น
เสน่ห์ของหลวงพระบางยังไม่หมดเท่านี้
ด้วยความที่ภาษาเราห่างกันเพียงนิดเดียวทำให้เราสามารถอ่านตัวหนังสือที่ลาวได้ และ สามารถใช้ภาษาไทยปกติในการสื่อสารได้โดยปกติ คนลาวพูดจาคล้ายคนไทยครับ เป็นคนยิ้มง่าย ขี้เขิน สำเนียงที่ดูแปร่งๆ และคำศัพท์น่ารักๆที่เราใช้ไม่เหมือนกันในภาษาไทย สำหรับผมมันเป็นอะไรที่ทำให้ผมแอบยิ้มเพราะความน่ารักน่าเอ็นดูทุกๆครั้งที่ได้สนทนากับชาวลาวที่นี่
ทริปนี้ผมอยู่กับ Olympus OMD EM5 Mark II กับเลนส์ M.Zuiko 12-200 mm F3.5-6.3 เลนส์ตัวล่าสุดของค่าย Olympus ที่เคลมว่า “เลนส์ตัวเดียว เที่ยวทั่วโลก” เห็นจะจริงอย่างที่ว่าครับ เลนส์ตัวนี้ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ท่องเที่ยวโดยเฉพาะ เพราะทำให้เก็บภาพได้ครบทุกระยะโดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเลนส์ เอาอยู่ทั้ง Portrait และ Landscape พกพาสะดวกอย่างมากเพราะมีขนาดเล็กและใช้ร่วมกับกล้อง Mirrorless ที่มีน้ำหนักเบาแต่เดิม
ลองไปดูกันครับว่าเรื่องราวตลอดช่วงสุดสัปดาห์ของผมที่ลาวจะเป็นยังไง
เปียง
#OLYMPUSTHAILAND
#PYONGDOCTOR
สวัสดีครับ ผมกับพี่ลำดวน เพื่อนใหม่จากหลวงพระบางครับ
ทริปนี้ผมอยู่กับ Olympus OMD EM5 Mark II กับเลนส์ M.Zuiko 12-200 mm F3.5-6.3 เราลองไปชมพลังของเลนส์ตัวใหม่นี้กันว่ามันเหมาะกับไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวยังไง
ที่น้ำตกกวางสี กับทิวทัศน์น้ำตกด้านหลังที่งดงามมากๆ
บ้านเมืองแนว Colonial Style ความผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมลาว และ ฝรั่งเศส
เริ่มต้นจากการจองตั๋วล่วงหน้าไว้นานซักหน่อยครับ สำหรับการเดินทางไปลาวเพื่อราคาที่ไม่แพงจนเกินไป ผมเลือกช่วงบ่าย/เย็นวันศุกร์ เพื่อวาร์ปไปอยู่ลาวในทันทีหลังเลิกงานในคืนวันศุกร์ เมื่อถึงสนามบินสามารถใช้บริการรถโดยสารเข้าเมืองได้ โดยตกที่ 50,000 กีบ ต่อทีม
การเดินทางถ้าเป็นในเมืองสามารถเดินเท้าได้เกือบทั้งเมืองครับ ทุกอย่างอยู่ในระยะ 2-3 กิโลเมตร ไม่หลุดจากนี้มาก หากต้องการความสะดวกสบายขึ้นอีกนิด ที่นี่จะมีรถโดยสารคล้ายตุ๊กตุ๊กบ้านเรา มี 4 ล้อ เรียกว่า จัมโบ้ หรือ รถสกายแล็ป สามารถไปไหนมาไหนได้ในราคาไม่แรงจนเกินไป ประมาณ 3,000-5,000 กีบต่อคน หากต้องการไปที่ไกลๆ สามารถติดต่อกับรถที่ตั้งแต่ที่สนามบินได้เลย โดยการจองว่าจะเดินทางไปไหนบ้าง เหมาเป็นวันๆ จะได้รถคันใหญ่แบบ Limousine 7 ที่นั่ง ซึ่งนั่งสบายมาก รถสภาพดีมาก มีคนขับให้พร้อม ผมเหมาคันนี้ตอนออกไปนอกเมืองครับ ในราคา 500,000 กีบ หรือ 2,000 บาท/วัน
ช่วงเย็นในหลวงพระบางทำอะไรได้บ้าง
ในตัวเมืองหลวงพระบางจะคึกคักในโซนถนนคนเดินครับ มีร้านรวงขายของฝากมากมาย ถัดกับตึกแถว Colonial Style ที่เรียงรายไปด้วยบาร์ และคาเฟ่ ที่เปิดกันอย่างคึกคักในช่วงเย็น เราสามารถที่จะเดินช็อปปิ้งของฝากพื้นเมือง และ ไปหาอะไรทานได้ในย่านนี้ครบ จบในย่านเดียว
ค่าครองชีพไม่สูงมาก สามารถจับจ่ายใช้สอยได้ตามปกติเหมือนอยู่ที่ไทย บางอย่างราคาจะอัพขึ้นเป็นเรทนักท่องเที่ยว แต่คิดว่าสามารถเข้าใจได้ ไม่ได้สูงมากจนเกินไป กำเงินไป 2,000-3,000 บาท ยังเหลือพอสำหรับการซื้อของฝากติดไม้ติดมือเล็กๆน้อยๆได้ครับผม
เงินลาว 1 บาท = 270 กีบ หรือเวลาหน้างาน ผมจะคิดเร็วๆ เพื่อประเมินราคาคร่าวๆ โดยการเอาค่าเงินกีบมาคูณด้วย 4 แล้วหารด้วย 1000 (ตัด 0 ทิ้งตัว 3 ตัว) จะประมาณราคาเป็นบาทได้ เช่น 10,000 กีบ จะประมาณ 10000 x 4/1000 บาท = 40 บาท (ค่าจริงๆประมาณ 37 บาท) เป็นต้นครับ หรือ อาจจะจำง่ายๆว่า 10000 กีบ = 40 บาท นั่นเอง
ในเรื่องอาหารการกิน ราคาทุกๆอย่างเริ่มต้นที่ 5,000 – 10,000 กีบ ขึ้นไปเรื่อยๆ ตามความหรูหราของมื้ออาหาร ถ้าคิดเป็นมื้ออาหารดีๆ จะตกที่คนละ 75,000 – 150,000 บาท/คน/มื้อ (300 – 600 บาท) ซึ่งนับว่าราคาไม่สูงจนเกินไปครับ สามารถทานได้ ราคาสบายๆกระเป๋า อาหารที่นี่จะเป็นอาหาร local พวกของย่างต่างๆ อาหารพื้นเมือง นอกจากนี้จะเป็นอาหารนานาชาติหลายสัญชาติที่หลายร้านดำเนินการโดยเจ้าของเชื้อชาตินั้นๆ ลองไปหาทานดูครับ มีอยู่ทั่วไปจริงๆ ร้านอีกร้านที่พบได้ตลอดทางก็คือร้านน้ำปั่นครับ ผมเป็น Avocado Lover ผมชอบน้ำปั่นใส่อโวคาโดมากๆ ซึ่งที่นี่เราจะพบได้ในร้านน้ำปั่นทุกๆร้าน ในขณะที่เราไม่สามารถหาเจอได้ง่ายๆในไทยครับผม
ร้านที่ผมแวะไปชื่อว่า L’Elephant เป็นร้านอาหารฝรั่งเศสกึ่งๆ Fine Dining ครับ รสชาติอร่อยเชียวล่ะ ในร้านคนแน่นเลยครับเต็มไปด้วยชาวต่างชาติที่มาทานอาหารเย็นกัน ร้านนี้อยู่ใกล้ริมแม่น้ำโขง สามารถเดินเลยไปชมวิวแม่น้ำโขงในยามค่ำคืนได้ หลังจากทานเสร็จ สามารถแวะไปที่บาร์ต่างๆที่มีให้เลือกมากมายครับ ก่อนที่จะกลับเข้าที่พักกัน
ตักบาตรข้าวเหนียว หนึ่ง gimmick ที่คิดว่าไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้ว ควรแวะไปเข้าร่วมหรือเข้าชมประเพณีนี้สักเล็กน้อย ตักบาตรข้าวเหนียว จะเป็นการ “จก” ข้าวเหนียวด้วยปลายนิ้วขนาดประมาณ 1 คำ แล้วใส่ลงในบาตร ในช่วง 5.00 – 6.00 น. จะมีพระสงฆ์มาบิณฑบาตรนับร้อยองค์ตามเส้นทางต่างๆ ทั่วเมือง เป็นประเพณีที่สวยงามมากๆครับ ใครต้องการของใส่บาตรสามารถบอกพนักงานโรงแรมให้เตรียมไว้ให้ได้ มีค่าใช้จ่ายตามเรทโรงแรมครับ
หลังตักบาตรข้าวเหนียว พวกเราไม่รอช้าครับ เดินทางไปยังสถานที่แรกของวัน นั่นก็คือ ร้านกาแฟชื่อดังที่ริมโขง เรียกว่าเป็น The Must ของที่นี่ก็ได้นะครับ “ร้านกาแฟมหานิยม” เทียบกับที่ไทย ที่นี่เหมือนสภากาแฟของลาว ที่จะมีเครื่องดื่มแนว กาแฟโบราณ ชานม ฯลฯ คล้ายที่บ้านเรา เสิร์ฟกับปาท่องโก๋จิ้มนมข้นหวาน และไข่ลวกแบบสุกพอดีๆ เป็นอาหารเช้าคลาสสิคที่พวกเราคิดถึงกันนะครับ
เจอเพื่อนใหม่ที่นี่ น้องดูอยากรู้จักกันนะครับ
แสงอาทิตย์เริ่มมาแล้ว ตลาดเช้ากำลังคึกคักเลยล่ะ ตลาดเช้าที่นี่เป็นตลาด local ของหลวงพระบางครับ ของขายเป็นเหมือนตลาดสดบ้านเรา ชาวบ้านจะเอาของมาวางขายกัน มีทุกๆอย่างตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ของกิน ของใช้ ไปจนถึงเสื้อผ้า ตลาดเช้าคึกคักคนเยอะมากๆ
เรามีเมนูแนะนำครับ ไส้ย่าง และ น้ำพริกมะเขือเผา เด็ดมากๆต้องลองจริงๆ ไส้ย่างของที่นี่จะเอาไปต้มรอบนึงก่อนและเอามาย่างอีกที ใส่เครื่องเทศและการปรุงรสเฉพาะที่อร่อยกว่าที่ผมเคยทานที่ไทย texture จะมีความ creamy รสอูมามิ มากๆ อร่อยมากครับ ขอให้ลองชิมดู
อรุณสวัสดิ์นะครับ
ก่อนจะออกนอกเมืองกัน แวะมาคาเฟ่ซักแห่งก่อน มาชิมกาแฟสดจากลาวแท้ที่นี่ครับ Sinuk Cafe เป็นแบรนด์กาแฟชื่อดังอีกเจ้าของลาวครับ บรรยากาศร้านตกแต่งออกมาได้น่ารักมากทีเดียวกับสีสันแบบหม่น กลิ่นอายความวินเทจ โต๊ะไม้ และกระเบื้อง encaustic ลายโบราณ ช่างเข้ากันกับบรรยากาศตึกแถวเก่าแถบนี้ครับ
วันนี้เราจะออกนอกเมืองกันทั้งวันครับ ผมเช่ารถจากสนามบินเพื่อให้มารับพาไปเที่ยวจากโรงแรม สถานที่ที่เราจะไปกันในวันนี้คือน้ำตกตาดแส้ และน้ำตกตาดกวางสี
สำหรับน้ำตกตาดแส้ จะต้องเดินทางออกมาจากตัวเมืองราวๆ 20 กิโลเมตร และเดินทางต่อด้วยเรือรับส่ง ล่องไปตามแม่น้ำคานก็จะถึงจุดหมายในเวลา 10 นาที
ณ น้ำตกตาดแส้ ที่นี่ยามที่มีน้ำ จะมีฉากที่สวยงาม ราวกับมีน้ำตกไหลลงมาเป็นชั้นจากทุกทิศทาง แต่วันที่ผมไปเป็นช่วงน้ำน้อยทำให้ไม่ได้รับบรรยากาศนั้น แต่อย่างไรก็ดี ที่นี่เป็นอีกหนึ่งแห่งของ Elephant Village Santuary ที่จะมีบริการขี่ช้างชมธรรมชาติท่ามกลางบรรยากาศน้ำตก และการอาบน้ำให้ช้างของที่นี่ด้วย เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจครับ
ตัวเลนส์ M.Zuiko 12-200 mm F3.5-6.3 มี Weatherproof ที่สตรองมากครับ ไม่ว่าจะเป็นที่ที่ฝุ่นมาก หรือ ละอองไอน้ำมากอย่างน้ำตกก็ไม่ใช่ปัญหา
ช้างจะเดินในเส้นทางธรรมชาติแล้วลงไปเดินต่อในน้ำตก หากเป็นช่วงน้ำมาก ฉากนี้จะเป็นจุดที่สวยงามมากครับ
“ช้างมันชอบอาบน้ำมั้ยครับ”
“ชอบมากมากเลย” ควานช้างที่ดูเด็กกว่าผม ตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
หลังจากเสร็จจากที่น้ำตกตาดแส้ ผมไปต่อกันที่น้ำตกตาดกวางสี เดินทางไม่นานก็ถึงที่หมาย
เหมือนน้ำตกบ้านเรา จะมีร้านอาหารแนวน้ำตกที่ขายพวกของปิ้งย่างและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เรียงรายตามแถวถนนครับ
พูดถึงน้ำตกตาดกวางสี ที่นี่เป็นน้ำตกที่แว้บแรกที่ผมเห็นต้องร้อง “ว้าว” ออกมาเลยล่ะ มันสวยงามมากจริงๆครับ กับ น้ำตกและแอ่งน้ำสีพิเศษที่นี่ น้ำในแหล่งน้ำแห่งนี้มีสี turquoise สดใส สวยงาม นับเป็นความอัศจรรย์ของธรรมชาติแถบนี้ที่ทำให้หินและดินที่นี่มีแร่หินปูนละลายอยู่ สารประกอบของพวก Calcium Magnesium Manganese และ กำมะถัน ผสมกับสาหร่ายบางชนิด และแบคทีเรียบางชนิด ผสมๆกัน จนเกิดสีพิเศษดังกล่าว ฉากหลังเป็นน้ำตกชั้นไม่สูงมากนักขนาดกว้าง บ่อไม่ลึกมากนักจึงเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาเล่นน้ำกัน ขอเตือนว่าน้ำที่นี่เย็นมากกว่าที่คุณคิดนะครับ
น้ำเป็นสี turquoise สดใส
ชาวต่างชาตินิยมมาเล่นน้ำกันที่นี่ครับ
ด้วยพลังจากเลนส์ซูมที่คลุมระยะถึง 200 mm ทำให้ผมสามารถเก็บภาพนี้ได้จากระยะไกล แอบถ่ายแนว candid มาครับ
กลับมาที่เมืองในช่วงบ่าย ผมเดินสนุกกับการถ่ายภาพในเมืองครับ
M.Zuiko 12-200 mm F3.5-6.3 สมกับที่เคลม “เลนส์ตัวเดียว เที่ยวทั่วโลก” เอาอยู่ทั้ง Portrait และ Landscape
Dexter Caf’e เป็นร้านกาแฟที่น่ารักมาครับ บรรยากาศและโทนสีลงตัวมาก มีกาแฟมากมายหลายพันธุ์หลายประเทศให้เลือกชิม
จิบกาแฟแล้วดูผู้คนไปด้วย
ภาพนี้ candid มาจากจุดไกลๆเลย
สถานที่ท้ายๆของวันครับ พระธาตุพูสี ด้วยความสูงและชันแบบนี้ ทำให้นึกถึงดอยสุเทพบ้านเราเลยครับ พระธาตุพูสีตั้งอยู่บนเขา สูงจากระดับพื้นดินประมาณ 150 เมตร เดินขึ้นไปถึงยอดเราจะพบจุดชมวิวที่ดีที่สุดในหลวงพระบาง
บ้านเรือนจากมุมสูงครับ
ที่นี่เป็นจุดที่นับว่าสูงที่สุดจนสามารถมองเห็นเมืองทั้งเมือง และประทับใจแบบสุดๆกับทัศนียภาพของจุดตัดระหว่างแม่น้ำโขง และแม่น้ำคาน กับพระอาทิตย์ที่กำลังเคลื่อนตัวลงตรงแนวเส้นขอบฟ้าในทางเดียวกับแม่น้ำ เป็นภาพที่ประทับใจมากจนต้องหยุดอยู่นิ่งๆที่นี่ซักพักเพื่อซึมซับบรรยากาศพิเศษนี้ให้เต็มที่ที่สุด
มาถึงหลวงพระบาง ยังไงก็ต้องไม่พลาดที่นี่นะครับ
หลังจากนั้นในช่วงเย็น ผมเดินเล่นในตลาดถนนคนเดินอีกครั้ง ที่ลาวมีร้านหมูกระทะอร่อยๆอยู่นะครับ ชื่อร้าน Dyen Sabai ลองแวะเวียนไปดู
วันอาทิตย์ วันสุดท้ายของทริปครับ เที่ยวบินผมจะเป็นช่วงบ่ายแก่ๆ เผื่อเวลาไว้สัก 2 ชั่วโมงกำลังดีครับ แต่โชคดีที่เราใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองถึงสนามบินไม่นานมาก
ผมแวะมาเดินในตัวเมืองอีกครั้ง ที่พระราชวังหลวงพระบาง ตั้งอยู่บนถนนเดียวกับถนนคนเดินเลยครับ เป็นพระราชวังเก่าที่สถาปัตกรรมงดงามมากอีกแห่ง มีการออกแบบที่มีกลิ่นอายคล้ายฝั่งยุโรป แล้วตบด้วยศิลปะแบบล้านช้าง กลายเป็นลูกผสมที่สวยงาม ปัจจุบันที่นี่เป็นหอพิพิธภัณฑ์
เปิดให้เข้าชม : 08.00-11.30 น. และ 13.30-16.00 น. (ปิดวันอังคาร)
ค่าเข้าชม : 30,000 กีบ
เดินมาอีกประมาณ 15-20 นาที จากพระราชวังหลวง จะถึงวัดเชียงทอง วัดสำคัญของหลวงพระบาง ตั้งอยู่บริเวณจุดบรรจบกันระหว่าง 2 แม่น้ำสายหลัก แม่น้ำโขง และ แม่น้ำคาน เป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมลาวที่ได้รับการยกย่องว่างดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งครับ เป็นศิลปะแบบล้านช้างดั้งเดิม ที่มีอายุเกือบ 500 ปี หากมาถึงหลวงพระบาง ยังไงก็ต้องมาแวะที่วัดนี้ครับ
เปิดให้เข้าชม : 06.00-17.30 น.
ค่าเข้าชม : 20,000 กีบ
ทางด้านหลังของพระวิหารเป็นที่ตั้งของหอพระม่าน และหอพระพุทธไสยาสน์ ภายนอกจะเป็นสีส้มอมชมพู มีลวดลายต่างๆที่เล่าถึงวิถีชีวิตชาวลาวสมัยก่อน ประดับด้วยกระเบื้องและกระจกแวววาวสวยงาม โดยเฉพาะเวลาที่มีแสงอาทิตย์ส่อง นักท่องเที่ยวชอบเข้าไปในอาคารแล้วยื่นหน้าออกมา จะเป็นมุมที่หน้าจะดูผ่องเป็นพิเศษ ไม่เชื่อต้องลองดูครับ
นักท่องเที่ยวคนนั้นได้ลองดูเรียบร้อยแล้ว
ก่อนกลับบ้าน ผมแวะมาที่ร้านกาแฟแห่งสุดท้าย ที่นี่ Joma Bakery Caf’e คงไว้ซึ่งสไตล์การตกแต่งร้านที่น่ารัก กลิ่นอายวินเทจ ในตึก colonial เช่นเดิม ที่นี่เด่นเรื่อง cold brew นะครับ
จบกันไปกับทริปหลวงพระบางสั้นๆ ในเวลาเพียง 3 วัน 2 คืน ค่อนข้างรวบรัด แต่เก็บรายละเอียดได้ครบสำหรับเวลาสั้นๆ ลองไปดูในแพลนต่อกันได้เลยครับ
คงต้องพูดถึงกล้องกับเลนส์ของผมอีกเล็กน้อยครับ อย่างที่ภาพได้แสดงให้เห็นแล้วครับ ว่าพลังของเลนส์ตัวใหม่ M.Zuiko 12-200 mm F3.5-6.3 ทำให้ทริปนี้สะดวกขนาดไหน มันค่อนข้างตอบโจทย์ได้ดีมากๆครับ สำหรับการเที่ยวที่ไม่อยากพกอะไรไปมาก เลนส์ตัวเดียวจบ สมกับที่เคลมจริงๆ หากสนใจเลนส์ตัวนี้
แล้วพบกันใหม่ทริปหน้านะครับ
รัก, เปียง
#PYONGDOCOR
#OLYMPUSTHAILAND