CAPELLA BANGKOK
36 ชั่วโมง ในนครดวงดาว
ตั้งแต่ช่วงเย็น จนถึงช่วงค่ำของอีกวัน รวม 36 ชั่วโมง กับการพักผ่อนที่ Capella Bangkok กับทิวทัศน์สุดตระการตาที่ขนานไปกับโค้งน้ำเจ้าพระยา
สวัสดีครับ ผมเปียง วันหยุดที่ผ่านมาผมเปลี่ยนที่ทำงานเล็กน้อยกับการเข้าไป staycation ที่โรงแรมแห่งใหม่ล่าสุดของกรุงเทพมหานคร Capella Bangkok โรงแรมระดับ Ultra Luxury ริมน้ำเจ้าพระยาที่เพิ่งเปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมานี้เองครับ
เป็นที่จับน่าจับตามองอย่างแน่นอนครับ สำหรับ Capella Bangkok ในเครือ Capella Hotels and Resorts โรงแรมระดับ World Class ที่ตั้งบนทำเลทอง โครงการเจ้าพระยาเอสเตท (Chao Phraya Estate) ที่ภายในประกอบด้วย Four Seasons Private Residences Bangkok , Four Seasons Hotel Bangkok at Chao Phraya River และ Capella Bangkok แห่งนี้นั่นเอง ตัวแบรนด์ Capella นับเป็นหนึ่งในเครือโรงแรมที่เรียกว่าดีที่สุดของโลก และล่าสุด Capella Ubud ใน บาหลี ยังได้รับการยกย่องให้เป็น “โรงแรมที่ดีที่สุดในโลก” หรือ No.1 Hotel in the World ในปี 2020 จากการโหวตในนิตยสารชื่อดัง Travel + Leisure ดังนั้น จึงไม่แปลกใจที่หลายๆคนให้ความสนใจกับโรงแรมแห่งใหม่นี้อย่างมาก ด้วยยอดการจองห้องพักและห้องอาหารที่แน่นตลอดเดือนแม้อยู่ในวันที่ประเทศเราปราศจากนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ตาม
Capella Bangkok ถือเป็นงานประติมากรรมชิ้นใหม่ที่ครั้งนี้สร้างขึ้นโดยหยิบจับแรงบันดาลใจมากมายในย่านเมืองเก่าอย่างเจริญกรุงมาเป็น element ที่สำคัญของหลายๆส่วนของโรงแรม ตกแต่งอย่างสวยงามในทุกมิติด้วยงานศิลปะ เฟอร์นิเจอร์ และ ข้าวของเครื่องใช้ที่ทำออกมาพิเศษสำหรับแบรนด์โดยเฉพาะ บอกเล่าเรื่องราวของตัวโรงแรมที่ขนานไปโค้งน้ำเจ้าพระยาบนพื้นที่กว่า 35 ไร่ ได้อย่างเหมาะเจาะและลงตัวครับ
Capella Culturist คือ signature service ของโรงแรมครับ “คาเพลลา คัลเจอริสต์” จะเป็นคนที่รู้เรื่องเกี่ยวกับแขกเป็นอย่างดีตั้งแต่ check in ยัน check out โดยไม่ว่าจะทำกิจกรรมใดก็ตาม จะติดต่อกับคนนี้เพียงคนเดียวเพื่อจบในทุกกระบวนการ ทำหน้าที่หลักๆ คือ Personal Assistant, Guest Relations และ Butler มีความรู้เรื่อง concierge ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ของกรุงเทพฯ รวมไปถึงศิลปะวัฒนธรรมไทย สำหรับเราชาวไทยเอง อาจจะฟังดูไม่ตื่นเต้นมาก แต่สำหรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ เขาคือคนที่บทบาทสำคัญมากๆ โดยในแต่ละวัน จะมีกิจกรรมไทยน่ารักๆ ที่ Capella Culturist เป็นคนจัดให้ เช่น คลาสสอนพูดภาษาไทย คลาสสอนทำผ้ามัดย้อม คลาสสอนทำว่าวไทย การพาแขกออกไปเดินถนนเจริญกรุง เป็นต้น
ก่อนจะเข้าไปชมเรื่องราวแบบเต็ม ๆ ของการพักผ่อนที่โรงแรมแห่งนี้ คงต้องกล่าวถึงระดับ check-in check-out ที่นี่เสียก่อนครับ เป็นอะไรที่แปลกใจปนประทับใจมากๆกับเวลาที่โรงแรม offer ให้แขก เพราะคุณไม่จำเป็นต้องแจ้ง late check out อีกเนื่องจากคุณมีเวลาถึง 36 ชั่วโมงด้วยกัน พูดง่ายๆก็คือ หากเช็คอินช่วงเย็นคุณจะสามารถอยู่ที่โรงแรมได้จนถึงราวๆเที่ยงคืนของอีกวันเลยทีเดียว นั่นทำให้เหมาะอย่างยิ่งกับการเปลี่ยนที่นอนครั้งคราวเพื่อสัมผัสประสบการณ์ต่างๆอย่างเต็มอิ่มมากที่สุด
เกริ่นไปเยอะแล้ว 36 ชั่วโมงของผมเป็นอย่างไรบ้าง เราตามไปชมด้านในกันดีกว่าครับ
เปียง
#CapellaBangkok #CapellaHotels #CapellaCurates
#THEHOTELINTHESPOTLIGHT #STAYCATIONINGWITHPYONG #PYONGDOCTOR
CAPELLA BANGKOK
36 ชั่วโมง ในนครดวงดาว
Capella ดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดในกลุ่มดาวสารถี เมื่อมองด้วยตาเปล่าเราอาจเห็นเป็นดาวดวงเดียว แต่ที่แท้แล้วเป็นดาวคู่สีเหลืองขนาดใหญ่สองดวง ไอเดียนี้ถูกนำมาใช้เป็นโลโก้ที่แสดงอัตลักษณ์แบรนด์ โดยเปรียบเทียบ ผู้พัก เหมือนดาวดวงบนที่ใหญ่กว่า และพนักงานทุกคนของโรงแรมเป็นดาวดวงเล็กที่คอยดูแลนั่นเอง
Grand Ballroom ขนาดใหญ่ที่มีบันไดวนและแชนเดอร์เลียขนาดใหญ่ ดีไซน์สะดุดตา เป็นอีกภาพจำของโรงแรม
เราตามไปดูตั้งแต่ check in ยัน check out ด้วยกันครับ
เหตุผลหลักที่ Capella Bangkok เลือกเปิดตัวบนทำเลถนนเจริญกรุง เพราะบริเวณ riverside นี้เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่แห่งมหานคร ที่มองเห็นความโค้งของตัวแม่น้ำเจ้าพระยาอันตระการตา มีความเงียบสงบท่ามกลางความจอแจภายนอก เหมือนรังนกที่โอบล้อมไว้ รู้สึก อบอุ่น ปลอดภัยจากสิ่งรบกวนโดยรอบ เป็นประวัติศาสตร์ในอีกบทบันทึกใหม่ที่สำคัญของการเจริญเติบโตในย่านชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยาและถนนเจริญกรุง ถนนแห่งประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และเป็นทำเลที่รวมเอาความสร้างสรรค์แบบร่วมสมัย มาอยู่ด้วยกันตลอดทั้งเส้น จะเห็นได้ว่าตลอดเส้นทาง จะมีคาเฟ่ บาร์ พิพิธภัณฑ์ชุมชน creative space หรือ art gallery มากมาย ก่อให้เกิดความหลากหลายของวิถีชุมชนบนถนนสายนี้
Capella Bangkok มีความ private สูง เนื่องจากมีจำนวนยูนิตห้องพักไม่มากเพียงแค่ 101 ห้อง รวมถึงห้องพักแบบวิลล่า 7 ห้อง โดยทุกห้องหันหน้าแบบ riverfront หมดทุกยูนิต ขนาดตั้งแต่ 61 ตารางเมตร ไปจนถึง 595 ตารางเมตร ดีไซน์ให้มีหน้าต่างและกระจกบานใหญ่ สูงจรดเพดาน ให้ความรู้สึก โปร่ง โล่ง ไม่อึดอัด มีระเบียงกว้าง สามารถยืนชมวิถีชีวิตบนแม่น้ำและอีกฝั่งของแม่น้ำได้แบบ private
สถานที่แรกที่เราจะต้องเข้ามาพบคือบริเวณ Living Room ครับ เป็นห้องที่ไม่สามารถเข้าออกได้ตามปกติ ต้องมี key card หรือพนักงานพาเข้าไปในนั้น โดยปกติ Culturist จะเป็นคนที่คอยต้อนรับการมาถึงของแขกทุกท่าน โดยจะทราบถึงเวลาที่มาก่อนล่วงหน้าอยู่แล้ว และจะรอรับอยู่ด้านหน้าโรงแรม เพื่อคอยพามาในห้องนี้
welcome drink ของที่นี่เป็น champagne ครับ “Capella Bangkok Vranken” ที่สั่งทำพิเศษสำหรับ Capella Bangkok เท่านั้น เสิร์ฟคู่กับ macaron ช่วง 4-5 โมงเย็นวันศุกร์ นั่งเงียบ ๆ มองดูแม่น้ำที่มีเรือแล่นผ่านไปมาแบบนี้ก็ชิลดีเหมือนกันครับ
ถึงเวลาขึ้นไปชมบนห้องกัน สำหรับ room type ที่ผมเข้าพักเป็นแบบ Riverfront Premier King (61 sqm.) ที่อยู่บนชั้น 10 ของโรงแรม ความดีของห้องนี้ ออกแบบให้ระดับแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ในไลน์สายตาที่สวยที่สุดพอดี หากสูงกว่านี้ ต้องก้มมอง และหากต่ำกว่านี้ก็อาจไม่ได้วิวที่ดูกว้างเท่านี้ ดังนั้นจุดขายที่สำคัญ คงจะเป็นเรื่องวิวนั่นเอง ในขนาดที่ room type อื่นๆ จะมีลูกเล่นที่ต่างกันไป
บนชั้น 10 แห่งนี้ สวยงามมากๆยามเวลาพระอาทิตย์ตก
มองลงไปด้านล่างจะเป็นห้อง type Verandah ครับ
บริเวณระเบียงด้านนอกเป็นเตียงพักผ่อนครับ พื้นที่ตรงนี้สามารถทำบาร์บีคิวได้ด้วย หากต้องการนะครับ
Capella Bangkok ออกแบบโดย Andy Miller และ Richard Scott Wilson นักออกแบบและสถาปนิกผู้ออกแบบโครงการระดับโลกหลายแห่งของ Hamiltons International สำหรับ interior design ถูกสร้างสรรค์โดย BAMO ที่มีผลงานด้านการออกแบบตกแต่งภายในโครงการที่พักอาศัยแบบลักชูรี รีสอร์ต โรงแรม สปา และร้านอาหารชื่อดังมาแล้วทั่วโลก ทุกมุม แม้แต่ในห้องน้ำ ถูกออกแบบมาอย่างประณีตครับ
ห้องน้ำปูด้วยหินอ่อนครับ ในห้องเราจะไม่พบ single-use plastic เลย ทุกอย่างทำจากกระดาษ ผ้า โลหะ และไม้
amenities ของที่นี่มี packaging ที่น่ารักมากครับ ออกแบบเป็น jigsaw ภาพเล่าเรื่องเกี่ยวกับถนนเจริญกรุงและแม่น้ำเจ้าพระยา
amenities ในห้องที่เลือกใช้ และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ได้รับการคัดสรรมาอย่างดี ไล่มาตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ IP TV เครื่องชงกาแฟ Nespresso เครื่องนอนที่ใช้ผ้าทอลินินคอตตอนแบบชาวอียิปต์ ของใช้ในห้องน้ำแบรนด์ดัง อ่างอาบน้ำที่ทำด้วยหินสังเคราะห์ ก๊อกน้ำ Dornbracht เครื่องอาบน้ำ ETOILE de siam จาก Bottega Veneta และ Flower Bath Tea CHAR แบรนด์ไทยที่นำมาใช้กับอ่างน้ำ
เตียง king-size โต๊ะทำงาน และ โต๊ะรับแขก กับมุมสุดอลังการของแม่น้ำที่จะสวยงามมากที่สุดในช่วงเวลาเย็น
กลับลงมาที่ด้านล่าง living room อีกครั้งเพื่อเตรียมไปรับประทานอาหารเย็น บรรยากาศห้องมีความเป็น gentleman’s club ตกแต่งอย่างโอ่อ่าด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ เครื่องหนัง และโคมไฟหลากหลายรูปแบบ หันหน้าออกไปที่เวิ้งน้ำเจ้าพระยา ทำให้จากมุมนี้ เราจะเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาได้ดีที่สุด
ผมกับบรรยากาศบริเวณ tea lounge ที่รายล้อมไปด้วยงานศิลปะขนาดใหญ่หลายชิ้นด้วยกัน
งานศิลปะตามทางเดินของโรงแรม
Culinary Experiences ในโรงแรมก็น่าตื่นตาตื่นใจไม่แพ้กัน ประกอบไปด้วยห้องอาหาร บาร์ และ ทีเล้าจน์ 4 แห่งด้วยกัน คือ Phra Nakhon “พระนคร” ห้องอาหารไทยต้นตำรับ, Côte by Mauro Colagreco โดยเชฟเจ้าของรางวัล Michelin 3 star, Stella Cocktail Bar และ Tea Lounge สำหรับ afternoon tea และ all-day drink ครับ
ใน staycation ครั้งนี้ น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ไม่สามารถจองคิว Côte by Mauro Colagreco ได้เนื่องจาก fully booked ยาวระดับสัปดาห์ จึงได้เบนมารับประทานที่ห้องอาหาร Phra Nakhon แทน ถือว่าเป็นอีกร้านอาหารไทยที่ควรค่าแก่การลิ้มลองครับ
Phra Nakhon ห้องอาหารไทยต้นตำรับ “พระนคร” จะอยู่โซนที่ติดสวนริมแม่น้ำ มุมมองกว้างแบบ 180 องศา สามารถนั่งรับประทานอาหารแบบ outdoor ได้ เปิดตลอดทั้งวัน นำเสนออาหารไทยแบบร่วมสมัยรสเลิศสูตรต้นตำรับ โดยเชฟเล็ก วิเชียร ไตรรัตนวาธิน หัวหน้าเชฟครัวไทย ที่รังสรรค์เมนูพิเศษจากสูตรลับก้นครัวที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น
อาหารเมนูแนะนำ อยากให้ทดลองสั่งเป็น สำรับมาเลยครับ เพราะแต่ละเมนูถูกจัดเตรียมไว้อย่างดีโดยเชฟอยู่แล้ว เรียกได้ว่าถูกปากคนไทยทุกเมนู แม้จะทำออกมาเพื่อขายชาวต่างชาติส่วนหนึ่งก็ตาม
ด้วยกลิ่นอายบรรยากาศห้องอาหารไทย แต่เมนูแบบ fine dining ที่นำเสนอนี้ ดูขัดกันแบบไม่น่าเชื่อ ใครจะเชื่อว่าส้มตำพอมาขึ้นโต๊ะลักษณะนี้ กับการซอยมะละกอที่มีทรงเรียวกระบอกแบบประณีต จะทำให้อาหารดูดีน่ารับประทานขึ้นหลายสิบเท่า รสชาติเป็นแบบคนไทยแท้เลยครับ มีความเค็มเผ็ดนำ ตัดด้วยเปรี้ยวหวานปลายๆ ผสมความอูมามิเล็กน้อยจากปลาร้าอย่างดีที่ปลายลิ้น งานนี้ใครกินปลาร้าไม่ได้ ก็ต้องเรียกว่าพลาดได้เลย เพราะนี่คือวัตถุดิบชั้นยอดของไทยครับ
ใต้ความเป็น fine dining ยังคงไว้ซื่งความ casual แฝงไว้ครับ ที่นี่กว้างใหญ่เหมาะกับการสังสรรค์ แก้วไวน์ออกแบบพิเศษให้ไม่มีขา โดยที่ทรงยังคงเป็นเหมือนแก้วปกติ แขกจะใส่ชุดอะไรก็ได้ ไม่ต้อง formal มากก็โอเค หากจะมารับประทานที่นี่
1 มื้อที่น่าประทับใจกับอาหารไทยแบบ fine dining คู่กับ wine pairing
Stella บาร์ในโรงแรมคาเพลลาที่โด่งดังมากในโลกโซเชี่ยลขณะนี้ครับ ด้วยการตกแต่งภายในที่มีความเป็น feminine จ๋า ตรงข้ามกับฝั่ง living room อย่างชัดเจน ภายในประดับประดาด้วย element ที่ให้กลิ่นอายตะวันออกหลากหลายเชื้อชาติ ตรงกลางมีนกยูงสีขาวขนาดใหญ่ ที่เก็บรายละเอียดได้เหมือนจริงอย่างไม่น่าเชื่อ มีดนตรีสดที่แวะเวียนมาเล่นทุกวัน โต๊ะเต็มครับในวันที่ผมไป
เครื่อมดื่มของที่นี่ได้รับแรงบันดาลใจจากวีรสตรีของประเทศต่างๆ จาก 4 ประเทศด้วยกัน ได้แก่ ไทย อินเดีย จีน และ ญี่ปุ่น ส่วนผสมอิงตามแต่ละประเทศ
ค่ำแล้ว ถึงเวลากลับขึ้นห้องครับ ราตรีสวัสดิ์ครับสำหรับค่ำคืนนี้
ยามเช้ากับมุมเดิมจากบนเตียงครับ แดดยังไม่ออกเลย
ที่นี่มีบริการ breakfast in bed ครับ บริการถึงบนห้อง หากที่บ้านไม่ยอมให้คุณกินข้าวบนเตียง ที่นี่แหละ เป็นโอกาสของคุณ
อร่อยมาก presentation สวยงาม
ที่พิเศษที่สุดที่หลายคนพูดถึงกันคือ ตัว bathrobe ที่มีความหนาแบบพิเศษ บุนุ่มด้านในและมี hood ด้านนอก สวมใส่สบายและดูดีไม่เหมือนที่ไหนเลย
สังเกตุภาพข้างขวาของผม นั่นคือกาพย์เห่เรือที่บอกเล่าแรงบันดาลใจของโรงแรมแห่งนี้ครับ
เปลี่ยนที่ทำงาน 1 วันครึ่งครับ
สระว่ายน้ำของที่นี่ออกแบบให้มีความสนุกแบบ beach club ครับ เหมือนยกเอาบรรยากาศริมทะเลมาตั้งไว้ในเมือง พนักงานจะใส่เสื้อที่ดูสนุกกว่าโซนอื่นๆ เน้นไปที่สีขาว-คราม คอยดูแลทุกเมื่อหากเราต้องการความช่วยเหลือ ตลอดเวลาที่อยู่ริมสระ
ในเวลากลางวันจะมี มื้อพิเศษครับ เรียกว่า “Pinto” เป็นเซตอาหารกลางวันง่าย ๆ ที่เสิร์ฟริมสระ พร้อมกับเครื่องดื่มดับกระหาย ไม่ว่าจะเป็นพวก lemonade หรือ cold pressed ต่าง ๆ ก็มีให้เลือกครับ สำหรับเซตอาหารจะเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยกัน จำพวกข้าวผัดกระเพรา ผัดไทย เป็นต้น เป็นกิมมิคที่แสดงความเป็นไทยได้น่ารักมากในสายตาของผม
อาหารไทยแบบง่าย แต่เสิร์ฟอย่างตั้งใจริมสระน้ำ
เสริมเล็ก ๆ น้อย ๆ ครับ กิจกรรมที่ Capella Culturist พาทำในวันนี้เป็นการทำผ้ามัดย้อมแบบ DIY ครับ น่ารักมากเพราะหลังจากเสร็จแล้ว ทางโรงแรมจะส่งเสื้อตัวที่ทำเสร็จแล้วกลับคืนให้
Tea Lounge (ทีเล้าจน์) เป็นเล้าจน์จิบน้ำชาวิวแม่น้ำ ประดับประดาด้วยดอกลิลลี่ตามผนัง เป็น all-day drink ครับ
เสิร์ฟชาแบบพรีเมียมพร้อมโชว์ขั้นตอนตั้งแต่เริ่มถึงโต๊ะ รอ 4 นาทีไปด้วยกันแล้วรินให้สูดซดตามธรรมเนียม กาและแก้วเป็นลวดลายไม้ ให้กลิ่นอาย oriental ที่น่ารักมากทีเดียว
ทีเด็ดเห็นจะเป็นเซตขนมที่ตามมาเสิร์ฟครับ ยอมรับว่าอร่อยมาก ๆ ทุกเมนูครับ
ขนมมาพร้อมกับรถเข็นที่ให้กลิ่นอายรถไอติมสมัยก่อนที่มีสีสันสดใสและดูสว่างมาแต่ไกล
เข็นมาโดยเชฟและพนักงานเสิร์ฟครับ สามารถเลือกได้ตามต้องการ
ที่นี่เราจะไม่เห็น afternoon tea set สูง ๆ แบบ high tea แต่จะเป็นการวางแบบแนวราบทั้งหมด
การเข้าพัก check in / check out เป็นแบบไม่กำหนดเวลา สามารถ custom เวลาเข้าพักและเช็คเอ้าท์ ได้สูงสุดถึง 36 ชั่วโมง ทำให้ผมยังเดินเล่นในโรงแรมอีกซักพักจนถึงช่วงเย็นของวันนี้
Shuttle boat สำหรับแขกที่ต้องการเดินทางข้ามไปยัง ICONSIAM
เริ่มมืดอีกแล้วครับ
เดินกลับไปบนห้องครับ แพลนว่าค่อยเช็คเอาท์ค่ำๆหน่อยครับ ระหว่างนี้นั่งทำงานในห้องไปพลางๆ รวมเวลา เกือบ 36 ชั่วโมงที่นี่
แม้ในสถานการณ์การท่องเที่ยวทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกขณะนี้ ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่ในมิติของการแข่งขันในธุรกิจโรงแรมระดับ Luxury หรือระดับขั้นสูงกว่า ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อครองใจแขกระดับ first-class guest การแข่งขันเป็นไปอย่างเข้มข้น โฮเทลรีสอร์ตกลางเมืองอย่างคาเพลลา กรุงเทพฯ ยืนหยัดและมั่นใจในจุดขายที่ชัดเจน serve ประสบการณ์แบบ niche มาก ถึงแม้จำนวนห้องพักจะมีน้อยเมื่อเทียบกับโรงแรมริมแม่น้ำขนาดใหญ่ระดับเดียวกันที่มีจำนวนห้องพักมากกว่า 3 เท่า แต่คาเพลลารับประกันเรื่องการบริการในคุณภาพระดับที่เท่ากันหรือมากกว่าครับ
นอกจากความสวยงามของสถานที่แล้ว สำหรับผมรู้สึกประทับใจในบริการของที่นี่มากๆครับ แม้จะเป็นวันหยุด อาจจะไม่ต้องไปเที่ยวไหนไกลๆก็ได้ แต่การออกมาเปลี่ยนบรรยากาศใกล้ๆแบบนี้บ้าง ก็น่าสนใจดีเหมือนกันนะครับ
แล้วพบกันใหม่คอนเทนต์หน้าครับ
รัก, เปียง