MONTIEN SURAWONG, REVIVAL OF THE ORIGINAL : มณเฑียร เรื่องราวบทใหม่แห่งตำนานโรงแรมไทย

MONTIEN SURAWONG, REVIVAL OF THE ORIGINAL
มณเฑียร เรื่องราวบทใหม่แห่งตำนานโรงแรมไทย

สวัสดีครับ ผมเปียง วันนี้ขอนำเสนอช่วง Staycationing with PYONG ครับ กับโรงแรมที่น่าสนใจทั่วประเทศไทยและทั่วโลกที่ผมไปเยือนมา ล่าสุดกับโรงแรม Montien Surawong Hotel Bangkok หรือ โรงแรม มณเฑียร สุรวงศ์ นั่นเองครับ

มณเฑียร สุรวงศ์ โรงแรมหรูระดับตำนานที่อยู่คู่กับกรุงเทพมหานคร มาก่อนโรงแรมระดับไฮเอนด์อื่น ๆ เกือบทั้งหมดกว่า 54 ปี ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ทำหน้าที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองคนสำคัญมากมาย ล่าสุดได้มีการรีโนเวทครั้งยิ่งใหญ่ด้วยงบประมาณระดับ 1,500 ล้านบาท เนรมิตโรงแรมให้ใหม่กิ๊ก แต่ยังคงทุกตำนานที่เคยมีอยู่ ปลุกขึ้นมาและต่อยอดให้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม

พาชิมห้องอาหารเรือนต้นกับข้าวมันไก่มณเฑียรอันเลื่องชื่อ งานศิลปะระดับชั้นครูของอาจารย์ไพบูลย์ สุวรรณกูฏ หรือท่านกูฏ ผู้ฝากผลงานอันวิจิตรไว้มากมายทั่วฟ้าเมืองไทย ห้องราชมณเฑียร แกรนด์ บอลรูม ห้องจัดเลี้ยงสุดอลังการ และตำนาน “An An” คลับลีลาศที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทยเมื่อครั้งวันวาน และเรื่องราวอื่น ๆ อีกมากมายที่รอทุกคนเข้าไปค้นหา

เมื่อเดินเข้ามาในโรงแรมแห่งนี้ เราจะสัมผัสได้ทันทีถึงความวิจิตร ความละเมียดในทุก ๆ รายละเอียดครับ การรีโนเวทครั้งนี้ไม่ใช่การทุบแล้วสร้างใหม่ แต่เป็นการรื้อของเดิมแล้วนำมาปรับแต่งให้ทันยุคสมัย ดังนั้นทุก ๆ ห้อง รวมทั้งห้องอาหารจะคงชื่อเดิม และสร้างใหม่โดยล้อกับแนวคิดดั้งเดิมให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน

เรียกได้ว่าที่นี่คือขุมทรัพย์กลางกรุงที่แท้จริงครับ เพราะที่นี่เปรียบเสมือนพิพิธภัณฑ์กลาย ๆ ก็ว่าได้ เป็นที่เก็บของชิ้นเก่าที่ไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ ถูกกระจายอยู่ในทุกบริเวณของโรงแรม ไม่ว่าจะเป็น ราวบันไดสัมฤทธิ์ ถ้วยชาม porcelain โบราณ ไม้สักทองที่บุผนัง งานศิลปะชิ้นต่าง ๆ และสำคัญที่สุด ตัวอาคารที่เป็นมรดกทางสถาปัตยกรรมอันล้ำค่าที่ถูกออกแบบโดยหม่อมราชวงศ์มิตรารุณ เกษมศรี สถาปนิกผู้โด่งดัง ศิลปินแห่งชาติ ในสาขาทัศนศิลป์ (สถาปัตยกรรม) ที่เป็นทั้งผู้ออกแบบและผู้ควบคุมการก่อสร้างโรงแรม ซึ่งเป็นอีกไฮไลต์สำคัญของผม สำหรับการมา staycation ในครั้งนี้ครับ

staycation ที่โรงแรมในตำนานแห่งนี้จะมอบประสบการณ์อะไรให้ผมบ้าง ตามไปชมเรื่องราวฉบับเต็มด้านในครับ
เปียง

#REVIVALOFTHEORIGINAL #MONTIENSURAWONG #STAYCATIONINGWITHPYONG

MONTIEN SURAWONG, REVIVAL OF THE ORIGINAL
มณเฑียร เรื่องราวบทใหม่แห่งตำนานโรงแรมไทย

ส่วนหนึ่งจากในโรงแรมครับ ในอัลบั้มนี้ เราจะค่อย ๆ ตามเข้าไปชมทีละส่วนกันนะครับ

มณเฑียร ทำให้เราได้เพลิดเพลินไปกับการค้นหาเรื่องราวต่าง ๆ ที่ซ่อนอยู่ในแต่ละมุมห้องครับ

ข้าวมันไก่มณเฑียร ตำนานที่ยังสืบทอดมาถึงวันนี้ อะไรคือเบื้องหลัง เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังครับ

THE LOBBY : INTRO TO MONTIEN

สำหรับถนนสุรวงศ์นั้นเป็นถนนเส้นที่ทอดยาวไปจนถึงแม่น้ำเจ้าพระยา นอกจากจะเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญต่าง ๆ แล้ว ยังเป็นที่ตั้งของโรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งมีเอกลักษณ์โดดเด่นจากการตกแต่งสไตล์ไทยแบบร่วมสมัย ต้อนรับแขกบ้านแขกเรือน บ้างก็เป็นบุคคลสำคัญระดับราชวงศ์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นักการทูต นักการเมือง นักธุรกิจ นักลงทุน เซเลบริตี้ และ ดาราทั้งในเอเชียและฮอลลีวูด และนักท่องเที่ยวทั้งจากไทยและเทศมาเป็นเวลายาวนานกว่า 54 ปี ที่นี่คือโรงแรม มณเฑียร สุรวงศ์ นั่นเองครับ

เมื่อเข้ามาที่บริเวณ lobby จะพบกับภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งเสด็จฯ มาเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดโรงแรมมณเฑียร สุรวงศ์ เมื่อวันวาเลนไทน์ปี พ.ศ. 2510 (ค.ศ.1967) ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายเริ่มต้นที่สำคัญ ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย

โถงบันไดวนหินอ่อนคาดด้วยราวสีทองเหลือง ตัดกับสีแดงอิฐพื้นหลัง แทรกกลางด้วยโคมระย้าที่ถูกประดับประดาด้วยฝูงนก ให้ความรู้สึกโปร่ง เป็นมุมที่ถือเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของมณเฑียรในเวอร์ชั่นใหม่นี้ครับ

ภาพจากหน้าหนังสือพิมพ์ในสมัยต่าง ๆ ที่ถูกแขวนไว้อย่างภาคภูมิใจ ว่าได้เคยรับรองแขกสำคัญจากต่างประเทศมาแล้วมากมาย

คงไว้ซึ่งองค์ประกอบเดิมของโรงแรมตั้งแต่แรกเริ่มครับ ตั้งแต่ยูนิฟอร์มไปจนถึงผู้คน

THE RESTAURANT : RUENTON

ก่อนจะไปชมพื้นที่ต่าง ๆ ในโรงแรม ทานข้าวเที่ยงกันก่อนดีกว่าครับ มาถึงโรมแรมมณเฑียรแล้วทั้งทีต้องลองทานข้าวที่ห้องอาหารเรือนต้น (Ruenton) ซึ่งหลังจากที่เขาได้ทำการปรับปรุงครั้งใหญ่เป็นเวลากว่า 18 เดือน กับรูปโฉมใหม่ที่มีความร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น แต่ยังคงเอกลักษณ์ของการเสิร์ฟอาหารไทย-จีน แบบต้นตำรับไว้อยู่ทุกประการ ด้วยรางวัลการันตีมากมายจากทั่วฟ้าเมืองไทย (และระดับโลก) ตามผมเข้าไปชมกันได้เลยครับ

การตกแต่งจะมีความเป็น Neo Chinese แทรกด้วยวัสดุที่มีความ industrial เล็กน้อย แซมสลับด้วยไม้และเหล็ก ให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างเท่ แต่ไม่ได้แข็งกระด้างจนเกินไป ตัดด้วยกระเบื้องสีเข้ม ซึ่งสีที่เลือกใช้ตัดกับสีไม้ได้อย่างลงตัว

โต๊ะหัวเตียงเก่าถูกนำมาตัดและจัดเรียงให้เป็น decorative pieces และทาด้วยสีส้มลูกพิกุล เป็นการนำของเก่าที่มีอยู่เดิม มาทำให้เกิดประโยชน์ และความแปลกตาที่สวยงาม ลงตัว

ลองสังเกตการ utilize ลวดลายต่าง ๆ บนกระเบื้อง มาทำให้เกิดจุดตัดบนพื้น แบ่งโซนพื้นที่เป็นสัดส่วน

ครัวเปิดให้ความรู้สึกทันสมัย หากไม่บอกว่าเป็นห้องอาหารไทย-จีน ก็อาจหลงคิดไปว่าเป็น international dining สักร้านนึงเลยครับ

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าทางโรงแรมได้ควบรวมพื้นที่ของห้องอาหารเรือนต้น และห้องอาหารจีน Jade Garden เข้าด้วยกัน ทำให้สามารถรองรับลูกค้าได้มากขึ้น (ปกติห้องอาหารเรือนต้นจะมีคิวที่ยาวมาก เพราะเมนูข้าวมันไก่นั่นเองครับ)

หากสังเกตรอบ ๆ ห้องอาหารจะพบว่ามีของสะสมวางโชว์อยู่เยอะมาก ซึ่งของเหล่านี้เป็นของที่เจ้าของโรงแรมได้เก็บสะสมจากการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ ทางสถาปนิกจึงดึงเอาจุดนี้ นำของสะสมเหล่านั้นมาจัดวางเพื่อเป็นของตกแต่งสำหรับห้องอาหารแห่งนี้ครับ

ถ้วยชามที่ใช้ที่นี่ครับ ล้วนแต่เป็นของดีที่ตกทอดกันมาจากในอดีตทั้งนั้น

น้ำส้มโอปั่น เมนูน้ำแนะนำของที่นี่ครับ หารับประทานได้ยากนะครับ หวานแบบเฝื่อนๆ สดชื่น ให้สัมผัสในปากที่แปลกดี

ตอนนี้อาหารมาเสิร์ฟพร้อมทานแล้ว ไปดูกันครับ

เริ่มต้นกับ ข้าวมันไก่ เมนูในตำนานซึ่งเป็นที่กล่าวขานมาอย่างยาวนานจากห้องอาหารเรือนต้น ที่เสิร์ฟความอร่อยของข้าวมันไก่สไตล์ไหหลำที่ผสมผสานกับรสชาติแบบไทย ๆ ได้อย่างลงตัว

ดูข้าวมันสิครับ เห็นถ้วยเล็ก ๆ แบบนี้ เขาอัดข้าวมาแบบไม่กั๊กเลยนะครับ โดยทางเชฟบอกว่าต้องใช้ข้าวหอมมะลิกลางเก่ากลางใหม่ คัดพิเศษ หมายความว่า ข้าวเก่าครึ่งหนึ่ง ข้าวใหม่ครึ่งหนึ่ง เพื่อให้ยางข้าวมีปริมาณที่พอเหมาะในการหุง ไม่ทำให้ข้าวแฉะหรือข้าวแห้งจนเกินไป ที่นี่เขามี cabinet rice cooker ทำให้สามารถไล่ไอน้ำออกจากหม้อได้ ใช้เทคนิคคล้าย ๆ กับ ภูมิปัญญาชาวบ้าน คือการ “ดงข้าว” ซึ่งในสมัยก่อนคนทางภาคอีสานมักจะใช้วิธีนี้ในการหุงข้าว เริ่มจากการต้มข้าวในหม้อปรุงแกงหรือหม้อสแตนเลส เอาไม้ขัดฝาหม้อไว้ พอเดือด ก็ค่อย ๆ เทน้ำซาวข้าวออก แล้วลดไฟลงให้ร้อนเบา ๆ แล้วคดข้าวไล่ไอน้ำ ให้ระเหยออกทีละน้อย ๆ จนได้ข้าวที่มีเม็ดนุ่ม ร่วน ไม่แฉะ ไม่เกาะตัว น่ารับประทาน ซึ่งวิธีการดงข้าวนี้ก็ถือเป็นเคล็ดลับของทางโรงแรมที่ใช้ในการทำอาหารของที่นี่นั่นเองครับ

ไก่ชิ้นหนาพร้อมเลือด เสิร์ฟมาด้วยเทคนิคพิเศษ โดยเนื้อจะมีความฉ่ำ ซึ่งเคล็ดลับความนุ่มและฉ่ำของของเรือนต้น คือการเลือกใช้ไก่ตอนสายพันธุ์ดี นำมาเลี้ยงจนครบ 60 วัน โดยคุณบุญเนตร ตันตกิตติ์ เจ้าของโรงแรม ชอบทานข้าวมันไก่มาก เป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลถึงกับพาเชฟของโรงแรมเดินทางไปตระเวนชิมข้าวมันไก่ยังต่างประเทศ และนำประสบการณ์นั้นมาทำข้าวมันไก่ในแบบของตัวเอง ว่ากันว่าเชฟต้องทดลองจากไก่เป็นพัน ๆ ตัว ข้าวหมดไปหลายร้อยกระสอบ กว่าจะพัฒนาสูตรจนลงตัว กลายเป็นข้าวมันไก่มณเฑียรเลิศรศในวันนี้ครับ

น้ำจิ้มทั้งหมด 4 แบบ แบ่งออกอย่าง ๆ ทั้งแบบไทย หรือแบบซีอิ๊วหวาน น้ำจิ้มขิงแบบสิงคโปร์ ทานคู่กับไก่ต้มฉ่ำ ๆ มองเผิน ๆ อาจจะดูไม่เยอะ แต่ความแน่นของทั้งข้าวและไก่ บอกเลยว่าชุดนึงทาน 2 ท่านได้สบาย ๆ เลยครับ เยอะและคุ้มค่ามาก ๆ

ราดหน้าจักรพรรดิชามโตกับกุ้งแม่น้ำไซส์ยักษ์ที่รับประทานได้ทั้งบ้านครับ

ขนมผักกาดกุ้ง อร่อยมาก มาพร้อมกลิ่นคั่วกระทะ หอมอ่อน ๆ

สังเกตว่า portion ค่อนข้างใหญ่ครับ

เสี่ยวหลงเปา ห้ามพลาดเช่นกัน ถ้าคุณมามณเฑียร

ขนมเผือกทอด ที่ใคร ๆ ก็ชมกัน

และกล้วยเชื่อม เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมวานิลลาครับ อันนี้ถือเป็นตัว signature ของร้าน
ปิดท้ายมื้ออาหารนี้อย่างสมบูรณ์

THE ROOM : JUNIOR SUITE

เรามาชมห้องกันบ้างครับ สิ่งที่สะดุดตาและเป็นอีกหนึ่งความประทับใจต่อห้อง Junior Suite ของผมคือตัว installation art เล็ก ๆ ที่ช่วยทำให้มุมห้องดูไม่น่าเบื่อ อย่างของห้องผมก็จะเป็นรูปไก่ชน ตัดกับห้องด้วยโทนสีที่ร้อนแรง ตรงนี้เป็นการประยุกต์นำความไทยมาใส่ไว้ได้อย่างแนบเนียนมากครับ

ห้อง Junior Suite กับเตียง California king bed บนพื้นที่ 56 ตารางเมตรครับ

ภาพวิวนี้ถ่ายจากห้อง Deluxe ครับ มีฉากหน้าเป็นยอดมณฑปของอุโบสถวัดหัวลำโพง ตัดกับตึกรามบ้านช่องทั้งเก่าใหม่ ล้อกับความเก่าแก่แบบร่วมสมัยของโรงแรมมณเฑียรแห่งนี้ได้ดีเลยครับ

welcoming message และ complimentary ขนมขาไก่จากทางโรงแรม ถือว่าเป็นอะไรที่น่ารักมากนะครับ ในการหยิบเอาขาไก่มาใช้แบบนี้ เชื่อว่าหลายๆคนมีความทรงจำร่วมกันในสิ่งนี้แน่นอนครับ

ขนมที่เตรียมไว้สำหรับตอน check in ครับ น่ารักมากอีกเช่นกัน

มุมทำงานและนั่งทานข้าวครับ เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์และโทนสีที่สบายตา

กลับมาที่ภาพพิมพ์ต่อดีกว่าครับ โดยผลงานภาพนี้เป็นการนำผลงานชุดสัตว์หิมพานต์ ของอาจารย์ไพบูลย์ สุวรรณกูฏ หรือท่านกูฏ ศิลปินผู้ซึ่งฝากผลงานภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังระดับชั้นครูไว้มากมายในเมืองไทย นำมาชุบชีวิต จำลองเป็นวอลเปเปอร์ สร้างธีมสีในแต่ละชั้นและห้อง เป็นลูกเล่นที่ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ไม่จำเจ ในการเข้าพักแต่ละครั้งครับ

หัวเตียงตกแต่งด้วยลายผ้าไทยโขมพัสตร์และเฟอร์นิเจอร์ที่เน้นความเรียบหรู ให้ความรู้สึกร่วมสมัย

bathtub ที่กว้างพอที่จะลงไปนอนแช่ได้สบาย ๆ

สถาปัตยกรรมภายนอกนั้น ในส่วนอาคารฝั่ง North Wing นั้นโดดเด่นด้วย facade รูปทรงสลับฟันปลา และในส่วน South Wing จะเป็น pattern แบบปล้องไม้ไผ่ โดยเป็นผลงานการออกแบบของ หม่อมราชวงศ์มิตรารุณ เกษมศรี สถาปนิกผู้ออกแบบและก่อสร้างโรงแรม ซึ่งท่านเป็นศิลปินแห่งชาติ ในสาขาทัศนศิลป์ (สถาปัตยกรรม) อีกด้วยครับ

บานฉลุลายไทยจีนกับสีแบบนี้ สวยงามมากครับ

เมื่อเข้ามาสู่บริเวณสระว่ายน้ำด้านในจะทำให้เห็นรายละเอียดของตัวอาคารได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งการเลือกใช้สีในการลง decal ส่วนต่าง ๆ กระเบื้องสีครามที่ตัดกันกับพื้นหลังขาวของตัวตึก รวมถึงกระเบื้องอิฐในบริเวณสระว่ายน้ำ ที่ถูกบูรณะใหม่ สะท้อนพื้นฐานแนวคิดการออกแบบที่ไม่ทำลายอัตลักษณ์เดิมของตัวอาคาร

สระว่ายน้ำที่นี่จะเป็นแบบลึก ซึ่งเรามักจะพบเจอได้ในโรงแรมหรืออาคารที่มีความเก่าแก่ รวมถึงเก้าอี้ริมสระ การจัดวางภูมิสถาปัตยกรรม ให้ความรู้สึก retro ดีครับ

กำแพงกระเบื้องอิฐที่ปรากฎร่องรอยของกาลเวลา

ข้าง ๆ กันคือ fitness center ที่มีอุปกรณ์ต่าง ๆ ครบสำหรับผู้เล่นทุกระดับ

และมาถึงห้องราชมณเฑียร แกรนด์ บอลรูม ห้องจัดเลี้ยงที่สามารถรองรับแขกได้ถึง 600 ท่าน โดยในการบูรณะครั้งนี้ ประตูห้องบอลรูมก็ยังคงรักษาประตูลายดอกพุดตานไว้ แต่นำมาเคลือบสีใหม่ให้ทันสมัยขึ้น บางอย่างถึงแม้จะเป็นของที่สั่งทำขึ้นมาใหม่ทั้งผืน อย่างพรมปูพื้น ก็ยังคงนำเอาลายกราฟิกดั้งเดิมที่เคยใช้เมื่ออดีต ทอขึ้นมาพิเศษสำหรับโรงแรมมณเฑียรโดยเฉพาะ เป็นการให้คุณค่าและความสำคัญกับตัวตนที่มณเฑียรได้สั่งสมมาเป็นเวลานาน

อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นตำนานของโรงแรมมณเฑียรและยังอยู่ในความทรงจำของคนรุ่นพ่อแม่ปู่ย่าเรานั่นก็คือ ระเบียงพยากรณ์ หรือ ระเบียงโหร ตั้งอยู่บริเวณชั้นลอยของโรงแรมมณเฑียร หรือปัจจุบันจะเป็นบริเวณด้านหน้าที่เป็น common space ที่เชื่อมต่อไปยังอาคาร South Wing ได้นั่นเอง

ระเบียงพยากรณ์เปิดให้บริการมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2526 โดยในสมัยก่อนมีบรรดาโหรนั่งเรียงราย ตั้งโต๊ะกันยาวเหยียด คอยดูดวง ทำนายชะตาให้กับลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติ เพราะโหรที่นี่ไม่ได้สื่อสารแค่ภาษาไทยอย่างเดียว หลายคนสื่อสารภาษาต่างประเทศได้ จึงทำให้มีลูกค้าชาวต่างชาติแวะเวียนไปใช้บริการอยู่เสมอ

โรงแรมมณเฑียรเล็งเห็นความสำคัญของศาสตร์แห่งการพยากรณ์ จึงได้ให้การสนับสนุนพื้นที่ตรงนี้มาอย่างยาวนาน จนมาถึงช่วงที่มีการรีโนเวทโรงแรม จึงต้องหยุดการให้บริการไป ทุกวันนี้ยังมีลูกค้าทั้งหน้าเก่าและใหม่ โทรเข้ามาถามไถ่กันอย่างไม่ขาดสาย รอวันที่จะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งครับ

เฟอนิเจอร์ในบริเวณต่าง ๆ ของโรงแรมนั้นจะมีสีสันที่เป็นเอกลักษณ์ แต่จะคุมให้อยู่ในโทนสีที่ไม่จัดจ้านเกินไป บาลานซ์ให้สมดุลกับลูกเล่นต่าง ๆ ที่มักจะเป็นสีฉูดฉาด ทำให้เรารู้สึกถึงความขี้เล่น มองไปทางไหนก็ไม่เบื่อจริง ๆ ครับ

หากใครที่ผ่านไปผ่านมาบนถนนเส้นนี้อยู่บ่อย ๆ จะสังเกตเห็นอาคารรูปทรงไทยซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านอาหาร Burger King และร้านกาแฟ Starbucks อาคารนี้คืออาคารไทยลายลอง ซึ่งเป็นผลงานการออกแบบอีกชิ้นของหม่อมราชวงศ์มิตรารุณ เกษมศรี เช่นกัน เป็นอีกหนึ่ง iconic landmark ที่หลาย ๆ คนที่สัญจรไปมาไม่ทราบว่าเป็นส่วนหนึ่งของโรมแรมมณเฑียรครับ

ปัจจุบัน ที่นี่ยังอยู่ในขั้นตอนการรีโนเวทครับ หลายจุดยังคงทำการก่อสร้างอยู่ เชื่อว่าหากเสร็จครบหมดแล้ว มันจะสุดยอดมากกว่านี้มาก

PHAR RAM IV BISTRO ภายใต้การนำของเชฟระดับมาสเตอร์ Hervé Frerard ได้ชื่อมาจากถนนด้านหน้าร้าน มีขนาด 30 ที่นั่ง เป็นคาเฟ่ในยามกลางวันแล้วเปลี่ยนเป็นไวน์บาร์สุดเก๋ในยามค่ำ เสิร์ฟอาหารสไตล์บิสโทรที่เน้นความเป็นตัวตนของเชฟ คืออาหารโมเดิร์นแบบยุโรป แต่นำเทคนิคการปรุงจากอาหารฝรั่งเศส มาประยุกต์ให้จานอาหารเหนือชั้นขึ้นไปอีกระดับ

แต่เนื่องด้วยเป็นช่วงโควิด ทำให้พระราม 4 บิสโทรต้องปิดให้บริการชั่วคราว เลยอดที่จะได้ลิ้มลองอาหารจากห้องนี้ครับ แต่อย่างน้อยผมก็ได้ภาพสวย ๆ มาจากที่นี่ นับว่าเป็นอีกมุมนึงของโรงแรมที่มีความ photogenic มาก ๆ ครับ

ด้วยความที่โรงแรมมณเฑียรเป็นโรงแรมที่มีความเก่าแก่ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ และในสมัยก่อน โรงแรมมักจะเป็นจุดรวมความบันเทิงต่าง ๆ ที่สำคัญในเมือง วันนี้ผมเลยอยากมาแชร์เรื่องราวที่เป็นตำนานของพื้นที่บริเวณชั้นใต้ดินของโรงแรมให้ฟังกันครับ

โรงแรมมณเฑียรในยุค 80s ถือเป็นแหล่งรวมความบันเทิงชั้นเลิศที่มีชื่อเสียงที่สุดของกรุงเทพฯ ในยุคนั้นคงไม่มีที่ไหนเกินหน้าโรงแรมมณเฑียรไปได้ โดยจะมีพื้นที่ชั้นใต้ดินของโรงแรมเรียกว่า An An (อันอัน) โดยในปี 2511 ได้เปิดเป็น An An night club ซึ่งถือว่าเป็นไนท์คลับที่มีชื่อในบรรดานักเที่ยวที่โปรดปรานการออกมาสังสรรค์ยามค่ำคืน ต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนแนวทางเป็นคลับสำหรับเต้นลีลาศ ว่ากันว่าคุณหญิงคุณนายมากหน้าหลายตาจะแต่งหน้าทำผม แต่งชุดแบบจัดเต็ม เพื่อมาประลองสเต็ปการเต้นลีลาศ ซึ่งถ้าเราลงมาถึงยังชั้นใต้ดิน ก็จะยังคงพบลานลีลาศที่ทางโรงแรมยังคงเก็บรักษาเอาไว้ รอวันที่พื้นที่นี้จะกลับมามีชิวิตอีกครั้งครับ

หลังจากนั้นพื้นที่ของ An An นี้เองที่แปรสภาพ กลายเป็นจุดแฮงเอาท์ที่ดังที่สุดของกรุงเทพฯ ในตอนนั้น แห่งหนึ่งเลย นั่นก็คือ The Montientong Lounge (2523) และ The Casablanca Night Club (2525) เรียกว่าเป็นเลาจน์และไนท์คลับสุดฮอต ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในเวลานั้นเลยครับ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ “ปล่อยของ” ของศิลปินนักร้อง นักดนตรี ที่อาจจะยังไม่มีชื่อเสียงนัก แต่โรงแรมมณเฑียรเห็นความสำคัญตรงนี้ ต้อนรับบรรดาศิลปินเข้ามาสร้างสีสัน ถ่ายทอดผลงาน ปล่อยของกันอย่างเต็มที่ และเป็นจุดกำเนิดของศิลปินรุ่นใหญ่ในตำนาน อาทิ เต๋อ เรวัต พุทธินันทน์ วง The Oriental Funk หรือเหล่าหนุ่ม ๆ วง The Impossible อันประกอบด้วย อาต้อย เศรษฐา ศิระฉายา อาวินัย พันธุรักษ์ พี่ป้อม อัสนี โชติกุล นัดดา วิยะกาญจน์ หรือแม้แต่ แหวน ฐิติมา ก็เคยผ่านเวทีแห่งนี้มาด้วยกันทั้งนั้น

เนี่ยแหละครับ คือนิยามของตำนานโรงแรมไทยที่ผมนำมาเล่าให้ทุกท่านได้ฟังกัน ทุกองค์ประกอบถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี ภายใต้เอกลักษณ์ความเป็นไทย ที่ทางมณเฑียรตั้งใจ ชูให้เป็นอีกหนึ่งเสาต้นสำคัญ ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย รอเปิดต้อนรับแขกคนสำคัญจากทั่วทุกมุมโลกอีกครั้งหนึ่ง

ผมหวังว่าทุกคนจะสนุกกับเรื่องราวที่ผมนำมาเสนอ และหากมีโอกาส ผมอยากเรียนเชิญทุกคนมาสัมผัสประสบการณ์สุดวิเศษแบบเดียวกับที่ผมเจอ สำหรับครั้งหน้าจะเป็นที่ไหน ติดตามไว้ให้ดี แต่สำหรับวันนี้ ขอตัวไปเช็คเอาท์ก่อนนะครับ

แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้าครับ
เปียง