WHAT ARE IN SONGKHLA : สงขลามีอะไร

สวัสดีครับ ผมเปียง วันนี้เราอยู่กันในแดนใต้ครับ ไปสำรวจจังหวัดสงขลาซึ่งเป็นเส้นทางสู่ภาคใต้ เป็นชุมทางใหญ่ก่อนจะไปยังจุดหมายใดก็ตามในดินแดนปลายด้ามขวานแห่งนี้

จากอดีตจนถึงปัจจุบัน พื้นที่แห่งนี้คือจุดยุทธศาสตร์ คือกุญแจสู่ความมั่งคั่งสำหรับพื้นที่ทางใต้ของแผ่นดินไทยครับ เมืองท่าแห่งนี้คืออีกหนึ่งประตูสู่ทะเลอ่าวไทย เป็นช่องทางการนำเข้าและส่งออกสินค้าจากทุกภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งการเดินเรือในอดีตนี้เองที่เป็นอีกหนึ่งเหตุปัจจัยที่นำความหลากหลายเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ ผสมผสานเกิดเป็นวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นอย่างยิ่ง

ผมอยากพาทุกคนไปเดินชมบ้านเมืองในโซนต่าง ๆ สงขลาเป็นจังหวัดที่นอกจากความสำคัญทางประวัติศาสตร์แล้ว ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นยอดที่ควรไปเป็นอย่างยิ่ง แวะไปเยือน มัสยิดกลางสงขลา แลนด์มาร์กสำคัญที่งดงามจนได้รับสมญานามว่า “ทัชมาฮาลเมืองไทย” เดินเลาะหาดชมทะเลใต้ ณ หาดสมิหลา ศึกษาตำนานพื้นบ้านเบื้องหลังหาดงามแห่งนี้ พาไปเดินถนนนางงาม อีกโซนชิค ๆ ย่านเมืองเก่า เพลิดเพลินไปกับสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ออกนอกตัวเมืองไปชมความงามทางธรรมชาติของเขาคูหา เหมืองลิวง และถ้ำเขาจังโหลน ซึ่งพิเศษในระดับที่น้อยนักจะเจอได้ตามภูมิประเทศปกติ ปิดท้ายทริปด้วยการสำรวจเกาะยอ ณ ทะเลสาบสงขลา อีกหนึ่งทะเลสาบขนาดใหญ่ที่เปิดประตูสู่อ่าวไทย เกิดเป็นแหล่งน้ำกร่อยที่มากไปด้วยสัตว์น้ำนานาชนิดครับ

ผมเชื่อว่าสงขลาคงมีอะไรอีกมากที่รอให้เราได้ค้นหา แต่ด้วยเวลาที่จำกัดอาจจะทำให้ขาดตกไปบ้าง ก็หวังว่าจะพอเป็นแนวทางในการสำรวจจังหวัดแห่งนี้ให้กับใครหลาย ๆ คนได้

ถ้าพร้อมแล้ว เตรียมกล้องให้พร้อมและตามผมมาได้เลยครับ

เปียง

จากอดีตจนถึงปัจจุบัน พื้นที่แห่งนี้คือจุดยุทธศาสตร์ คือกุญแจสู่ความมั่งคั่งสำหรับพื้นที่ทางใต้ของแผ่นดินผืนนี้ครับ เมืองท่าแห่งนี้คืออีกหนึ่งประตูสู่ทะเลอ่าวไทย เป็นช่องทางการนำเข้าและส่งออกสินค้าจากทุกภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งการเดินเรือในอดีตนี้เองที่เป็นอีกหนึ่งเหตุปัจจัยที่นำความหลากหลายเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ ผสมผสานเกิดเป็นวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นอย่างยิ่ง

ผมอยากพาทุกคนไปเดินชมบ้านเมืองในโซนต่าง ๆ สงขลาเป็นจังหวัดที่นอกจากความสำคัญทางประวัติศาสตร์แล้ว ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นยอดที่ควรไปเป็นอย่างยิ่ง แวะไปเยือน มัสยิดกลางสงขลา แลนด์มาร์กสำคัญที่งดงามจนได้รับสมญานามว่า “ทัชมาฮาลเมืองไทย” เดินเลาะหาดชมทะเลใต้ ณ อ่าวสมิหลา ศึกษาตำนานพื้นบ้านเบื้องหลังหาดงามแห่งนี้ พาไปเดินถนนนางงาม อีกโซนชิค ๆ ย่านเมืองเก่า เพลิดเพลินไปกับสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ออกนอกตัวเมืองไปชมความงามทางธรรมชาติของเขาคูหา เหมืองลิวง และถ้ำเขาจังโหลน ซึ่งพิเศษในระดับที่น้อยนักจะเจอได้ตามภูมิประเทศปกติ ปิดท้ายทริปด้วยการสำรวจเกาะยอ ณ ทะเลสาบสงขลา อีกหนึ่งทะเลสาบขนาดใหญ่ที่เปิดประตูสู่อ่าวไทย เกิดเป็นแหล่งน้ำกร่อยที่มากไปด้วยสัตว์น้ำนานาชนิดครับ

ผมเชื่อว่าสงขลาคงมีอะไรอีกมากที่รอให้เราได้ค้นหา แต่ด้วยเวลาที่จำกัดอาจจะทำให้ขาดตกไปบ้าง ก็หวังว่าจะพอเป็นแนวทางในการสำรวจจังหวัดแห่งนี้ให้กับใครหลาย ๆ คนได้บ้างครับ

ถ้าพร้อมแล้ว เตรียมกล้องให้พร้อมและตามผมมาได้เลยครับ

SONGKHLA 101 : สงขลา หัวเมืองใหญ่แห่งแดนใต้ แหล่งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสำคัญของปลายด้ามขวาน

หากพูดถึงเมืองสงขลาแล้ว ในความคิดหลาย ๆ คนสิ่งที่ผุดขึ้นมาเป็นอย่างแรกก็คือความใหญ่ของเมือง เป็นชุมทางในการท่องเที่ยวเมื่อมาเยือนแดนใต้ เชื่อมต่อเหล่านักเดินทางให้ไปยังจุดหมายปลายทางต่าง ๆ รอบ ๆ

ตามข้อมูลจากเว็บไซต์พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา ระบุไว้ว่า คำว่าสงขลาอาจมีที่มาจากคำว่า “สิงหนครา” หรืออาจมาจากคำว่า “สิงขรนครา” ครับ เนื่องจากในสมัยยุคอาณาจักรศรีวิชัย มีพ่อค้าชาวอินเดียเดินทางมาค้าขายในบริเวณนี้ เมื่อมองจากด้านนอกหาฝั่ง จะเห็นเป็นเหมือนรูปสิงห์หมอบอยู่บนพื้นน้ำ จึงเรียกว่า “สิงหลา” แปลว่า “เกาะรูปสิงห์” และเรียกเมืองฝั่งริมเขาแดงว่า “สิงหนครา”

“สิงขรนครา” ในภาษาอินเดียอาจแปลความได้ว่า “ชาวเมืองภูเขา” สันนิษฐานว่าอาจหมายถึงชาวเมืองที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้ภูเขา

ทั้ง 2 คำนี้ คือ “สิงหนครา” และ “สิงขรนครา” เป็นคำที่คนต่างชาติที่เข้ามาติดต่อทั้งไทย จีน อินเดีย ชวา มลายู และชาวตะวันตกชาติต่าง ๆ เรียกตาม ๆ กันว่า Sangora บ้าง Cingor บ้าง จนเพี้ยนเป็น “สงขลา” อย่างในปัจจุบัน

สงขลาเป็นหัวเมืองใต้ที่รุ่มรวยด้วยวัฒนธรรมจีนโพ้นทะเลด้วยพรมแดนขนาบติดกับอ่าวไทย นอกจากนี้ยังติดกับดินแดนมุสลิมอย่างมาเลเซีย กลายเป็นสองวัฒนธรรมที่เข้ามาอิทธิพลก็คือวัฒนธรรมจีนและมุสลิมมลายู ประกอบกับการผลัดเปลี่ยนมือผู้ปกครองอยู่บ่อยครั้งทำให้เมืองแห่งนี้มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมอยู่ในระดับที่สูงมาก ตั้งแต่ยุคสุลต่าน จนมาถึงเจ้าเมืองชาวจีน ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นระบบมณฑลเทศาภิบาลและเป็นจังหวัดสงขลาอย่างในปัจจุบัน

ในตัวเมืองสงขลา วิถีชีวิตที่นี่ยังมีความเรียบง่ายอยู่ครับ ไม่ช้าและไม่เร็ว ก้าวทันยุคสมัยในขณะที่ยังรักษาอัตลักษณ์ของอดีตไว้อย่างไม่เสื่อมคลาย เช่นอาคารพาณิชย์ที่มีลักษณะความเป็นสถาปัตยกรรมแบบ colonial ที่ได้เห็นครับ

สงขลาในยามเย็นเป็นอีกสิ่งที่ควรค่าแก่การสัมผัสครับ บ้านเมืองเก่ากับแสงเย็นเป็นส่วนผสมสำคัญที่ทำให้เกิดภาพที่สวยงามที่ทุกท่านจะได้ชมต่อจากนี้ ถ้าพร้อมแล้ว เราไปกันครับ

มัสยิดกลางสงขลา

แลนด์มาร์กสำคัญของจังหวัดสงขลาและสำหรับชาวมุสลิมในสงขลา มัสยิดกลางสงขลา เจ้าของฉายา “ทัชมาฮาลเมืองไทย” ครับ มัสยิดกลางสงขลา ตั้งอยู่ที่ถนนลพบุรีราเมศวร์ ตำบลคลองแห เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยมุสลิมในจังหวัดสงขลา เริ่มก่อสร้างในปีพ.ศ. 2534 และสำเร็จในปีพ.ศ. 2544

ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบมุสลิมร้อยเปอร์เซ็นต์ มีโดมใหญ่ตรงกลางและโดมย่อยกระจายอยู่ 4 มุม ในบริเวณด้านในเป็นพื้นที่สำหรับประกอบพิธีทางศาสนาครับ

โถงภายในมีความอลังการเป็นอย่างสูงครับ ขอใช้คำว่า minimalist สำหรับโถงแห่งนี้ สิ่งที่น่าสนใจก็คือการอาศัยแสงธรรมชาติในเวลากลางวัน สร้างมิติให้โถงมัสยิดแห่งนี้ขึ้นอีกระดับเลยครับ

โถงทางเดินรอบ ๆ ตัวอาคารปูด้วยกระเบื้องหินอ่อนสลับสี มองออกไปจะเป็นสระน้ำขนาดใหญ่อยู่ด้านหลัง

สระน้ำที่ทอดยาวกว่า 200 เมตร หากถ่ายภาพจากอีกมุมหนึ่งจะเห็นภาพเงาสะท้อนของตัวอาคารครับ แต่ช่วงเวลาที่ผมไปที่นี่สภาพอากาศไม่เป็นใจเท่าไหร่ ทำให้ไม่ได้มีโอกาสเจอกับท้องฟ้าเปลี่ยนสีที่เป็น signature ของที่นี่ ภาพสวย ๆ ของสงขลา ผมแนะนำให้ไปที่เพจของเจ้าถิ่นเลยครับ Bank’s Journey นอกจากทิวทัศน์สุดอลังการของมัสยิด แบงค์ยังมีสถานที่ลับต่าง ๆ อีกหลายแห่งให้ลองไปตามรอยกันครับ

หาดสมิหลา

ตอนนี้เราอยู่กันที่หาดสมิหลาครับ อีกหนึ่งหาดสวยที่อยู่ใน Bucket List การท่องเที่ยวในภาคใต้ของผม และเชื่อว่าคงอยู่ในใจใครอีกหลาย ๆ คนเช่นกัน หาดสมิหลาถือเป็นอะไรที่มีความ “คู่บ้านคู่เมือง” เป็นอย่างยิ่งครับ

หาดทรายสวยทอดยาวไปตามแนวฝั่ง อีก signature สำคัญของสงขลาครับ มองออกไปก็คือทะเลอ่าวไทยนั่นเอง

ด้วยความที่ห่างจากเทศบาลนครสงขลามาเพียงแค่ 2.5 กิโลเมตรเท่านั้น หาดแห่งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งจุดนัดพบ จุดรวมพล ที่มีความหมายต่อคนในพื้นที่เป็นอย่างยิ่ง

จุดเด่นสำคัญก็คือเกาะสองเกาะที่อยู่สุดปลายขอบฟ้า เกาะเล็กใหญ่ที่อยู่เคียงข้างกัน เกาะหนูเกาะแมวนั่นเองครับ ตามตำนานเขาเล่าเอาไว้ ถึงพ่อค้าชาวจีนคนหนึ่งที่เดินทางมายังบริเวณแห่งนี้ครับ มีหมากับแมวที่พ่อค้าเลี้ยงไว้ เลยนำติดเรือมาค้าขายที่เมืองแห่งนี้ด้วย พอขึ้นเรือก็ไปเจอกับหนู ทั้งสามตัวก็เลยผูกมิตรกัน วันหนึ่งทั้งสามครึ้มใจอยากจะเป็นอิสระ ก็เลยไปขโมยดวงแก้ววิเศษของพ่อค้าโดยให้หนูอมไว้ในปาก พอออกไปสักพักก็แตกสามัคคีกัน หนูเลยทำดวงแก้วตกน้ำ ทำให้หนูกับแมวจมน้ำตาย ณ ตรงนั้น เกิดเป็นเกาะหนูเกาะแมวขึ้น ส่วนหมายังพอมีแรงเลยว่ายไปตายที่ฝั่ง กลายเป็นเขาตังกวนหรือภูเขาที่ขึ้นอยู่ตรงริมอ่าวสงขลา ส่วนดวงแก้วที่แตกละเอียดจึงกลายเป็นหาดทรายแก้วนั่นเองครับ

ตำนานนางเงือกทอง ปกรณัมพื้นบ้านคู่หาดงามแห่งแดนใต้

อีกหนึ่งตำนานคู่หาดสมิหลาก็คือตำนานนางเงือกทองครับ จากการค้นคว้าข้อมูลก็ทำให้พบว่าที่มาที่ไปของรูปปั้นนางเงือกทองที่บริเวณหาดสมิหลาแห่งนี้เพิ่งจะมีการนำตำนานมาตีความได้ไม่นานครับ โดยในสมัยหนึ่ง ปลัดชาญ หรือ นายชาญ กาญจนาคพันธุ์ ปลัดจังหวัดสงขลา ได้นึกถึงเรื่องราวที่ได้รับฟังเมื่อครั้นเยาว์วัยจากคุณพ่อ หรือ ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) อีกหนึ่งนักเขียนคนสำคัญแห่งยุค ได้บอกเล่าถึงตำนานนางเงือกทองเอาไว้ ว่าด้วยชาวประมงที่พบเจอกับนางเงือกที่หวีผมอยู่ริมหาดด้วยหวีทองคำ นางเงือกตกใจพลันหนีลงน้ำไปจนลืมหวีทองคำไว้ ชาวประมงเฝ้ารอวันแล้ววันเล่าที่จะคืนหวีทองคำก็ไม่มีโอกาสได้เห็นนางเงือกอีกเลย

รูปปั้นนางเงือกทองเป็นผลงานการปั้นโดยอาจารย์จิตร บัวบุศย์ อาจารย์ใหญ่โรงเรียนเพาะช่างในสมัยนั้น ซึ่งเป็นเจ้าของผลงานพานรัฐธรรมนูญ ที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตยนั่นเองครับ 

ถนนนางงาม : ถนนชื่อแปลกที่อุดมไปด้วยเรื่องราว (และของกิน)

เข้ามาที่ตัวเมืองสงขลา ผมอยากพาทุกคนไปเที่ยวที่ถนนนางงาม ที่นี่มีประวัติความเป็นมาคร่าว ๆ ดังนี้ครับ เมื่อก่อนตรงนี้เคยชื่อถนนเก้าห้องมาก่อน เพราะมีอาคารบ้านเรือนอยู่เพียงแค่ 9 ห้องเท่านั้น ต่อมาเปลี่ยนเป็นถนนนางงาม เพราะว่ากันว่านางงามสงขลาคนแรก หรือคุณนงเยาว์ โพธิสาร อาศัยอยู่ในถนนแห่งนี้นั่นเอง

จริง ๆ จากการค้นคว้ามีข้อสันนิฐานอีกหลายอันด้วยกัน เอาเป็นว่าผมขอยึดตามอันนี้ที่ดูน่าจะเป็นไปได้มากที่สุดก็แล้วกันครับ

ย่านนี้มีความเก่าซ่อนอยู่ในทุกมุมมอง


มีสิ่งน่าสนใจให้ชมเต็มไปหมดจริง ๆ ครับ เดินไปถ่ายรูปไปได้เรื่อย ๆ

ชุมชุนในบริเวณนี้มีวิถีชีวิตที่น่าค้นหาครับ ทุกอย่างดูเรียบง่าย สบาย ๆ ไม่ช้าหรือเร็วจนเกินไป ผู้คนที่นี่น่ารักครับ เป็นมิตรและเป็นกันเองมาก ๆ

กราฟฟิตี้รูปนางงาม ที่มาของชื่อและภาพจำของถนนแห่งนี้ครับ

จุดเด่นของถนนนางงามก็คือการนำย่านเมืองเก่ามาแปลงสภาพให้กลายเป็นถนนคนเดินที่เต็มไปด้วยร้านรวงและผลงานศิลปะสไตล์กราฟฟิตี้โดยศิลปินคนรุ่นใหม่ เป็นอีกพื้นที่ชิค ๆ คูล ๆ ที่ควรไปเยือนเป็นอย่างยิ่งเมื่อมาถึงสงขลาครับ

E.P’s Cafe Patisserie

ขึ้นชื่อว่าเป็น PYONG Traveller x Doctor จะขาดร้านกาแฟไปได้อย่างไร แวะมาที่ E.P’s Cafe Patisserie คาเฟ่น่ารัก ๆ ตกแต่งย้อนยุคที่ตั้งอยู่ริมหาดสมิหลา เขามีทั้งชา กาแฟ รวมทั้งขนมต่าง ๆ ให้บริการครับ

บรรยากาศย้อนยุคเหมือนคาเฟ่ยุคเก่าในภาพยนตร์ต่างประเทศเลยครับ มีความประดับประดาด้วยไม้สีเข้ม ๆ

เบาะหนังลายปุ่ม หรือเรียกว่า Tufted Upholstery สะท้อนสิ่งที่ผมกล่าวได้เป็นอย่างดีครับ มีความอินเตอร์มาก ๆ สำหรับคาเฟ่แห่งนี้

ผมขออนุญาตแวะจิบกาแฟสักแก้ว ก่อนจะไปยังจุดหมายต่อไปครับ

บ้านในนคร

แวะมาที่อีกร้านนึงครับ กับร้านบ้านในนคร เป็นบูติคโฮเต็ลและร้านอาหารเล็ก ๆ กับบรรยากาศสบาย ๆ และมีความ local สุด ๆ วันนี้ผมแวะมารับประทานเมนูโรตีทั้งคาวและหวานครับ

บ้านไม้สีสันสวยงามหลังนี้ถูกรีโนเวตจนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง สวนสไตล์บาหลีรอบ ๆ บ้านช่วยเสริมบรรยากาศความเป็นกันเองอีกเป็นทวีคูณ

คุณแม ดนัย โต๊ะเจ เจ้าบ้านคนปัจจุบันกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารที่ผมสั่งในวันนี้ จริง ๆ บ้านหลังนี้มีอายุร่วมร้อยกว่าปีแล้วครับ เปลี่ยนมือเจ้าของกันมาหลายรอบมาก เจ้าของในอดีตมีทั้งคนใหญ่คนโต ผู้ใหญ่ขุนนางในสมัยก่อน จนมาถึงคุณแม ซึ่งเป็นอดีตสจ๊วตในสายการบินหนึ่ง

บรรยากาศภายในร้านจะให้ความรู้สึกเป็น local เหมือนกับเดินเข้ามาในบ้านของญาติผู้ใหญ่ที่สนิทสนมครับ

โรตีมะตะบะ

หลังจากจบจากเมนูโรตีน้ำแกง รับประทานคาวก็ต้องจบด้วยหวานครับ โรตีราดนมข้นหวานหอม ๆ ของโปรดในวัยเด็กของใครหลาย ๆ คน ราดวนไปครับ ชอบหวานก็ราดเยอะ ๆ

ขนมการอจี้สูตรโบราณ หน้าศาลเจ้าพ่อหลักเมือง

เดินมาเรื่อย ๆ ก็เจอกับร้านขายการอจี้ครับ เป็นขนมไทยที่หารับประทานได้ยากมากจริง ๆ การอจี้เป็นขนมจีนโบราณครับ นำมาแผลงให้ถูกปากคนไทย ดำเนินกิจการมาเป็นรุ่นสองแล้วครับสำหรับร้านนี้

การอจี้จะมีลักษณะเป็นแป้งทอด โรยโดยน้ำตาลและงา กัดเข้าไปจะมีความหนึบ เคี้ยวสนุก เป็นขนมพื้นถิ่นที่หาทานได้แค่ในแถบนี้เท่านั้นครับ

จิ่นกั้วหยวน : ไอติมยิว

ร้านไอศกรีมเจ้าดังของสงขลาครับ จิ่นกั้วหยวน หรือ ไอติมยิว เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2476 รวม ๆ ประมาณ 90 ปีแล้วครับ ชื่อยิวมีที่มาจากผู้ริเริ่มกิจการคือ นาวยิว แซ่เอา ชาวจีนกวางตุ้งที่อพยพมาตั้งรกรากในเมืองสงขลา

เสิร์ฟไอศกรีมวานิลลา รวมทั้งไอศกรีมไข่แข็ง พิเศษก็คือผงไมโลที่โรยหน้ามา เข้ากันดีกับตัวไข่แดงและเนื้อไอศกรีมวานิลลามาก

ถนนนางงามเป็นอีกที่ที่หากมีเวลา ควรแวะมาเดินเล่นครับ ยิ่งในช่วงเย็น ๆ ซึ่งเป็นเวลาที่สถานที่แห่งนี้จะมีชีวิตชีวามากที่สุดครับ

ผมขอปิดท้ายส่วนนี้ด้วยภาพพระอาทิตย์ตกดินคู่กับถนนนางงามแห่งนี้เป็นอีกเย็นที่น่าจดจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผมครับ

เขาคูหา : อีกหนึ่ง Unseen แดนใต้ที่พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง

เพียงครึ่งชั่วโมงจากตัวเมืองหาดใหญ่ เราก็มาอยู่กันที่อีกจุดชมวิวสำคัญของสงขลา เขาคูหานั่นเองครับ เขาคูหาคือพื้นที่ทางธรรมชาติมีลักษณะเป็นภูเขาหินปูนขนาดใหญ่ ผ่านร้อนหนาวจากยุคเหมืองหินรุ่งเรือง กลายเป็นภูมิประเทศที่มีความแปลกตา เป็นอีกหนึ่งเส้นทาง Trekking ที่ควรค่าแก่การมาเยือน

หากมาในช่วงหน้าหนาว ประมาณช่วงกลางเดือนตุลาคม จนถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ในวันที่ทุกอย่างเป็นใจก็อาจมีทะเลหมอกให้เห็น เคล้าไปกับวิวแบบพาโนราม่าของอำเภอรัตนภูมิ สวยงามเป็นอย่างยิ่งครับ

เขาคูหามีสภาพภูมิประเทศเป็นเนินเขาที่เกิดจากการทับถมของหินกรวดมนและหินทราย มีสภาพเป็นเนินเขาลูกโดดเตี้ย ๆ เป็นที่ราบลุ่มนอกสันทราย เป็นแหล่งสัมปทานเหมืองหิน ระเบิดภูเขา เลยทำให้ภูเขามีรูปร่างแปลกตาอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน แต่ต่อมาเมื่อไม่มีการต่ออายุสัมปทาน ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่และกลุ่มอนุรักษ์เขาคูหาเข้ามาดูแลพื้นที่และกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างในปัจจุบัน

ร่องเขาที่เหมือนกับประตู พาดไปด้วยทิวสนที่เรียงรายไปตามความลาดชันของภูมิประเทศ หากโชคดีจะมีพระอาทิตย์ดวงกลมดั่งไข่เค็มแดงให้เห็นระหว่างช่องเขาอีกด้วยครับ

การเดินขึ้นไปถึงจุดบนสุดผมแนะนำให้เตรียมตัวอย่างดีมาสักหน่อยครับ ด้วยชั้นหินที่ค่อนข้างชัน แม้จะมีเชือกให้เราไต่ขึ้นในทุกจุด แต่ก็ยังค่อนข้างอันตรายอยู่ดี แนะนำว่าควรใส่รองเท้าผ้าใบที่มีการยึดเกาะที่ดี และ เตรียมน้ำดื่มเผื่อไปด้วย สำหรับดื่มระหว่างทาง ป้องกันภาวะ dehydration จากการเสียเหงื่อ และความร้อนบนนั้น

จากข้างบนนี้ น่าจะเป็นจุดที่สูงที่สุดในระยะหลายกิโลเลยครับ เราสามารถมองเห็นเนินเขาทุกลูกที่เตี้ยกว่า ชุมชนชาวบ้าน และ พื้นที่การเกษตร

ช่วงที่ผมแนะนำคือช่วงเช้าไม่ก็ช่วงเย็นไปเลยครับ ไม่มีใครขึ้นเขาคูหากันตอนเที่ยงหรอกครับ (ยกเว้นผมที่ไม่ทราบมาก่อน) เพราะช่วงเที่ยงด้านบนร้อนมาก และแดดแรงมาก ๆ ครับ

ถ้ำเขาจังโหลน

ยังอยู่กันในพื้นที่อำเภอรัตนภูมิครับ นั่งรถมาอีกประมาณหนึ่งเราก็มาถึงถ้ำเขาจังโหลนครับ “ถิ่นดินแดง แหล่งผลไม้ดก น้ำตกเจ้าฟ้า ภูผามีตำนาน ประตูผ่านสูชายแดน” คำขวัญอำเภอรัตนภูมิที่ได้ชื่อในเรื่องของธรรมชาติที่สวยงามมาก ๆ “ภูผามีตำนาน” ตำนานที่ว่าก็คือเขาจังโหลนแห่งนี้นี่เองครับ

จริง ๆ พื้นที่ของเขาจังโหลนนั้นกว้างขวางมาก ประกอบไปด้วยส่วนต่าง ๆ ที่น่าสนใจมากมาย เป็นทั้งแหล่งอนุรักษ์ธรรมชาติ มีพืชพรรณนานาพันธุ์ เป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชน ที่โดดเด่นและงดงามที่สุดก็คือถ้ำเขาจังโหลนแห่งนี้ ภูเขาหินงอกหินย้อย ของขวัญจากธรรมชาติที่เหมือนหลุดออกมาจากฉากในภาพยนตร์ผจญภัยเรื่องเยี่ยม แต่ไม่ต้องไปไกลถึงที่ไหน แค่เพียงไม่กี่ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ ที่ปลายด้ามขวานของเรานี่เองครับ

แผนที่ของที่นี่ไม่ได้ปักตรง ๆ ที่ตัวถ้ำครับ หากใครที่เดินทางมาที่นี่แล้วหลงทาง ผมแนะนำให้ถามทางจากชาวบ้านในละแวกนั้น น่าจะเป็นไอเดียที่ดีที่สุด

เดินทางไกลขึ้นจากด้านล่างหลายร้อยขั้น นำมาสู่ถ้ำหินขนาดใหญ่ที่งดงามแบบที่เราไม่ได้คาดคิดมาก่อน มีโพรงเปิดอยู่ด้านบนทำให้เราเห็นแสงส่องลงมาตกกระทบกับหินในพื้นถ้ำ บรรยากาศเย็นชื้นด้านในกับกลิ่นฉุนของมูลค้างคาว ชวนให้เรานึกถึงการผจญภัยล่าขุมสมบัติแบบในภาพยนตร์

นอกจากการเที่ยวชมตามเส้นทางแล้วกิจกรรมขี่ม้าชมภูมิประเทศรอบ ๆ ก็เป็นอีกสิ่งที่แนะนำให้มาลองครับ

เหมืองลิวง : สนเขียวน้ำฟ้า เจ้าของฉายาสวิตเซอร์แลนด์แดนใต้

อีกหนึ่งพื้นที่มรดกจากยุคเหมืองอันรุ่งโรจน์ครับ เหมืองลิวงในอดีตเคยเป็นเหมืองแร่ดีบุก ซึ่งแร่ดีบุกเขาจะขุดกันในแม่น้ำครับ หากใครมีโอกาสได้ชมภาพยนตร์เรื่อง มหา’ลัย เหมืองแร่ ของพี่เก้ง จิระ มะลิกุล จะพอนึกออกครับ ปัจจุบันไม่มีเหลือให้เห็นแล้ว เหลือเพียงน้ำสีฟ้าสด กับไม้สนน้อยใหญ่ที่ขึ้นให้เต็มไปหมด

ก่อนจะเริ่มสำรวจกัน ผมขอแวะถ่ายภาพตัวเองสักมุมก่อนพอเป็นพิธีครับ

ทิวสนที่ทอดยาวเบื้องหน้าของผม ให้ความรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่ในเมืองไทยครับ แม้จะขัดกับสภาพอากาศร้อนชื้นในตอนนั้นอยู่บ้างก็ตาม

สวยงามจริง ๆ ครับ

เหมืองลิวงยังเป็นอีกจุดแคมป์ปิ้งที่ควรมาพักสักครั้งเป็นอย่างยิ่ง หมอกยามเช้ากับวิวแบบนี้ ถ้าไม่เขียนโลเคชั่นเพื่อน ๆ คงนึกว่าเราอยู่สักมุมไหนของยุโรป เป็น hidden gem อีกเม็ดของหาดใหญ่โดยแท้จริงครับ

ค่าเข้าชมไม่แพงเลย เพียงแค่ 50 บาทเท่านั้น ขอเพียงช่วยกันรักษาความสะอาด เก็บขยะ เราก็จะมีธรรมชาติสวย ๆ แบบนี้ให้มาเที่ยวชมไปอีกแสนนานเลยแหละครับ

เกาะยอ

ก่อนจบทริปสงขลาของผม ผมพาไปยังสถานที่สุดท้ายของทริปนี้ครับ
เรากลับมาที่ทะเลสาบสงขลาเพื่อเดินทางไปยังเกาะยอกันครับ เกาะยอเป็นเกาะเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ ในยุคแรกเริ่มมีสภาพเป็นป่าเขา ไม่มีผู้คนอาศัย ที่มีปรากฏการณ์เข้ามาตั้งถิ่นฐานของผู้คนก็เมื่อราว ๆ ปีพ.ศ. 2148 เมื่อสมเด็จพระราชมุณี (สมเด็จเจ้าเกาะยอ) เดินทางมาธุดงค์ ในขณะนั้นมีประชากรอาศัยอยู่ราว 500 กว่าคนได้ครับ

ชื่อเกาะยอมีที่มาที่ไปเนื่องจากบริเวณเกาะนี้มีก้อนหิน ซึ่งมีลักษณะคล้ายลูกยอเป็นจำนวนมาก ประกอบกับบนเกาะมีต้นยอขึ้นเยอะเช่นกัน เลยเรียกกันว่าเกาะยอตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ผู้คนที่นี่ยึดอาชีพประมงเป็นหลักด้วยความอุดมสมบูรณ์ของน่านน้ำในบริเวณนี้ ทำให้เกิดการตั้งรกรากขึ้นในลักษณะของหมู่บ้านชาวประมงครับ นอกจากนี้ในอดีตเกาะยอแห่งนี้ยังเป็นจุดพักของพ่อค้าชาวจีนในการหลบมรสุม บ้างเห็นความอุดมสมบูรณ์ก็ตั้งรกรากอยู่อย่างถาวรก็เยอะครับ

References : https://bit.ly/3O4Vs8f

ลักษณะโดยรวมของเกาะนี้ให้ภาพของการอยู่อาศัยร่วมกันระหว่างผู้คนกับธรรมชาติจริง ๆ ครับ เห็นชัดจากที่อยู่อาศัยบางส่วนที่ตั้งอยู่ในทะเลครับ

มีร้านอาหารแนะนำหลายร้านด้วยกันบนเกาะนี้ ขึ้นชื่อในเรื่องอาหารทะเลสด ๆ จากในท้องถิ่น ผมแวะมาที่ร้านมหัศจรรย์เกาะยอครับ ร้านอาหารที่ทำเป็นแพยื่นออกมาในหาดเลนด้านนอก เราจะได้เห็นวิถีชีวิตกับหมู่บ้านชาวประมงได้จากวิวนี้เช่นกัน

เขาหยิบเอาอัตลักษณ์ความเป็นหมู่บ้านประมงมาใช้ในการตกแต่ง ลมทะเลที่พัดเข้ามา เป็นอีกเย็นที่วิเศษสุด ๆ สำหรับผมครับ

ดูหอยแครงไซส์ขนาดนี้สิครับ เกือบจะเท่าฝ่ามือผมอยู่แล้ว ถูกและอร่อยแบบนี้ต้องมาที่ภาคใต้เท่านั้น ใครมาแถวนี้ ลองแวะชิมดูนะครับ

CONCLUSION

เรียกได้ว่าเกินความคาดหมายไปไกลครับ สำหรับสงขลา กับสถานที่ท่องเที่ยวที่ผมขอใช้คำว่า “ควรค่าแก่การมาเยือน” เป็นจังหวัดที่ครบรสมากครับ ทั้งบ้านเมือง รวมทั้งธรรมชาติรอบ ๆ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะอันเกิดจากสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศ และพูดได้เลยว่าหากต้องการจะสำรวจให้ครบ ต้องเผื่อเวลาเอาไว้พอสมควรเลย เพราะจังหวัดแห่งนี้มีอาณาบริเวณกว้างเป็นอันดับ 3 ของภาคใต้ครับ

สุดท้ายนี้ผมหวังว่าทุกคนจะชอบคอนเทนต์สงขลาที่ผมได้เตรียมมาในวันนี้และหวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้หลาย ๆ คนจัดกระเป๋าแล้วออกไปท่องเที่ยวในประเทศของเรา สงขลาเป็นเพียงหนึ่งจังหวัดจาก 77 จังหวัดที่มีให้เราได้ออกไปลองค้นหาครับ สำหรับจุดหมายหน้าเราจะไปที่ไหน ติดตามกันไว้ให้ดีนะครับ

สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ

เปียง