สวัสดีครับ ผมเปียง เปิดครึ่งหลังของปี 2022 ด้วยช่วง #StaycationingwithPYONG กับประสบการณ์การพักผ่อนในโรงแรมที่คู่ควรแก่การเล่าต่อครับ ครั้งนี้ผมอยู่ที่พร้อมพงษ์ครับ พื้นที่ใจกลางเมืองที่เต็มไปด้วยสีสันและเอกลักษณ์ของกรุงเทพฯ กับโรงแรมที่ผมขอให้คำนิยามว่าเป็นโรงแรมที่ “หรูหรา สงบ และเป็นส่วนตัวที่สุด บนพื้นที่ที่จอแจที่สุดของกรุงเทพฯ” 137 Pillars Suites & Residences Bangkok ครับ
จากตำนานพื้นที่บ้าน “137 เสา” ของบริษัทรับสัมปทานค้าไม้สักที่รุ่งเรืองที่สุดในเชียงใหม่ สู่พื้นที่ใจกลางเมืองหลวง ที่ ณ วันนี้ได้รับการต่อยอดให้เป็น หนึ่งใน “A Must” Luxury Boutique Hotel ที่ครองใจนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติตลอดกาลครับ
137 Pillars ได้นำเรื่องราวและอัตลักษณ์ของ “บ้านบอร์เนียว” มาตีความใหม่อย่างประณีตเพื่อสร้างสรรค์โรงแรมที่ผสานนำศิลปะร่วมสมัยเข้ากับวัฒนธรรมล้านนา ผนวกเข้ากับการบริการและวิถีองค์กรที่ถอดแบบออกมาจากมารยาทชาวเหนือให้ออกมาเป็นตัวตนใหม่ของโรงแรมที่มีเอกลักษณ์การออกแบบเหนือการเวลา โดดเด่นด้วยการบริการที่ยากต่อการลอกเลียนแบบครับ
ท่ามกลางความวุ่นวายใจกลางพร้อมพงษ์ แต่เมื่อคุณเปิดประตูเข้าไป ก็เหมือนตัดขาดจากโลกภายนอกเข้าสู่การพักผ่อนที่แท้จริง ครั้งนี้ผมขอพาทุกคนไปสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษกับห้อง Thonburi Suite ห้องพัก 1 ห้องนอนที่ดีที่สุดกับทัศนียภาพกลางเมืองที่สวยงามตลอดวัน ด้วยแสงที่ส่องถึงแต่ละห้องในมุมมองที่ต่างกันในแต่ละช่วงเวลา โดดเด่นด้วยพื้นที่ห้องอาบน้ำและอ่างน้ำขนาดใหญ่ที่เปิดรับวิวพระอาทิตย์ขึ้น และพื้นที่พักผ่อนเชื่อมติดกับระเบียงขนาดใหญ่เปิดรับพระอาทิตย์ตกดินยามเย็น ก่อนที่จะพาไปดื่มชากับ Afternoon Tea ที่ได้แรงบันดาลใจจากความงดงามอัญมณี และว่ายน้ำที่สระ Infinity Edge บนชั้น Rooftop ซึ่งได้รับคำชมว่าเป็นหนึ่งในสระบน rooftop ที่น่าประทับใจที่สุดของกรุงเทพฯ กับทิวทัศน์ของเมืองที่มองจากจุดที่เรียกว่าสูงที่สุดในละแวกนี้ได้แบบ 360 องศา โดยจำกัดการเข้าถึงเฉพาะผู้พักในห้องแบบ Suite เท่านั้น มาพร้อมกับเครื่องดื่มช่วงพระอาทิตย์ตก SunDowner Cocktail แบบ Free Flow และที่ขาดไม่ได้คือ ดินเนอร์ที่ห้องอาหารหรูอย่าง Nimitr ที่เสิร์ฟอาหารแบบ Fine Dining พร้อมกับวิวย่านพร้อมพงษ์ในยามค่ำคืนครับ
พร้อมหรือยังครับ ตามผมไปสัมผัสประสบการณ์การพักผ่อนสุดพิเศษในครั้งนี้ด้วยกันครับ
เปียง

137 PILLARS : FROM BORNEO HOUSE TO SUITES & RESIDENCES
ความหรูหราที่มีแรงบันดาลใจจากบ้านบอร์เนียว

ถ้ามองจากมุมไกลออกไป สระว่ายน้ำบนชั้น Rooftop ของโรงแรมก็ดูโดดเด่น จากตึกบริเวณโดยรอบของถนนสุขุมวิทเหมือนกันนะครับ

หรือว่าช่วงสาย ๆ บนชั้น Rooftop แดดจะยังไม่แรงมาก ผมว่าแสงสวยก็สวยนะครับ

วิวเมืองบนชั้น Rooftop คือสวยมาก ๆ ครับ

Mood and Tone ภายในห้องเป็นอีกสิ่งที่ผมถูกใจครับ

CHAPTER 1 : RECEPTION

137 Pillars Suites & Residences Bangkok เป็นหนึ่งในโรงแรมสมาชิกภายใต้เครือ SLH (Small Luxury Hotels of the world) เครือข่ายที่จะคัดสรรโรงแรมขนาดเล็กที่มีความโดดเด่นและมีสไตล์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร ด้วยประสบการณ์พิเศษที่ไม่สามารถหาได้จากโรงแรมขนาดใหญ่ ๆ ครับ ซึ่งในประเทศไทยมีเพียง 18 โรงแรมเท่านั้นครับ

เมื่อเดินเข้ามาบริเวณ Lobby ของโรงแรม ภาพจำแรกที่ผมเห็นคือความโอ่อ่าและหรูหราด้วยความสูงของเพดานที่สูงถึง 6 เมตร และหากสังเกตดี ๆ ภายในโรงแรมส่วนมากจะเลือกตกแต่งด้วยไม้เช่น ด้านหลังของ Reception จะเป็นไม้สักทั้งหมดเลยครับ

ภาพรวมองค์ประกอบสไตล์การตกแต่งของ Lobby ที่นี่ เป็นอะไรที่ถูกใจผมครับ ผมชอบในสไตล์การตกแต่ง Modern Twist Lanna ที่นำเอาความร่วมสมัยของ Chandelier มาตัดกับการตกแต่งด้วยไม้และภาพวาดที่คงกลิ่นอายความเป็นล้านนาจากจุดกำเนิดแบรนด์ ณ สถานที่ตั้งเดิม ก่อนที่จะตัดด้วยโซฟาสีน้ำเงินเด่น สีเดียวกับสีประจำโรงแรมให้อารมณ์ความรู้สึกหรูหราและอบอุ่นในเวลาเดียวกัน
นอกจากนี้ที่บริเวณ Lobby ยังประดับตกแต่งด้วย ดอกไม้สีขาวอย่างดอกกระเจียวและดอกหงส์เหิน ที่จะผลัดเปลี่ยนไปตามฤดูกาลครับ

Welcome Drink ของที่นี่เป็นอัญชัญมะนาวครับ คลายร้อน และปลุกความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าได้ดีเลย

Brand story
จุดเริ่มต้นของแบรนด์ 137 Pillars ได้เริ่มต้นเมื่อราว ๆ 16 ปีที่แล้วครับ ทางกลุ่มเจ้าของได้แสวงหาพื้นที่เหมาะสมที่จะสร้างบ้านพักตากอากาศที่เชียงใหม่ จนกระทั่งมาเจอที่ดินผืนหนึ่งที่มีความพิเศษที่สุดเท่าที่เคยพบมา ภายในที่ดินมีบ้านไม้สักหลังหนึ่ง ที่ตั้งตระหง่านปกคลุมไปด้วยแมกไม้เก่าแก่สืบค้นความเป็นมาได้ว่า เคยเป็นที่ตั้งของบริษัทค้าไม้บอร์เนียว บริษัทที่ได้รับสัมปทานค้าไม้ในล้านนาเมื่อประมาณ 150 ปีที่แล้ว ซึ่งที่มาของชื่อแบรนด์ก็มาจาก ในอดีตการวัดฐานะอันมั่งคั่งและตำแหน่งหน้าที่ของเจ้าของบ้านในเชียงใหม่มักจะรับรู้ได้จากขนาดของบ้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งนับจากจำนวนเสาของบ้านที่มี ยิ่งมีเสามากเท่าไรยิ่งแสดงถึงยศหรือฐานะอันมั่งคั่ง ครั้งหนึ่งมีสำนักพิมพ์ที่ต้องการจะเขียนเกี่ยวกับ ‘บ้านที่มีจำนวนเสามากที่สุดในเชียงใหม่’ ดังนั้น แจ็ค เบนผู้ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านไม้สักหลังนี้ในขณะนั้นจึงตัดสินใจที่จะนับจำนวนเสาซึ่งนับได้ 137 เสา และทางเจ้าของมองว่าเป็นเลขที่ดี จึงนำมาตั้งชื่อแบรนด์ 137 Pillars และจากศักยภาพและรางวัลโรงแรมที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากนิตยสาร Travel + Leisure จึงทำให้ทาง 137 Pillars ตัดสินใจที่จะนำเอกลักษณ์และความหรูหรา มาเปิดที่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ครับ

ด้วย Location ของโรงแรมที่อยู่ใจกลางเมือง ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าและห้างสรรพสินค้า ทางโรงแรมจึงมีบริการพิเศษ Louie the London Cab รถรับส่งคันสีน้ำเงิน มีหน้าตาเหมือนกับรถ Taxi ที่ให้บริการในกรุงลอนดอน ที่จะคอยให้บริการรับ-ส่งแขกทุก ๆ คนฟรีจากโรงแรมไปยัง BTS พร้อมพงษ์ซึ่งจะมีจุดรับ-ส่งที่บริเวณด้านนอกของ ร้าน Emporio Armani Emquartier ครับ ซึ่งจะให้บริการเป็นรอบ ๆ ตั้งแต่ 8:00 – 21:00 ครับ

CHAPTER 2 : THONBURI SUITE
ที่ 137 Pillars จะมีห้องสวีททั้งหมดเพียง 34 ห้อง โดยห้องสวีทแต่ละห้องจะตั้งชื่อมาจากยุคสมัยของอาณาจักรของไทย เริ่มตั้งแต่ สุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ ครับ ซึ่งแต่ละห้องก็จะมีสไตล์การตกแต่งและรูปภาพที่สื่อถึงแต่ละยุคสมัยที่แตกต่างกันออกไป ห้องที่ผมเข้าพักวันนี้จะเป็นห้องธนบุรีสวีท ห้องสวีทขนาด 1 ห้องนอนที่ดีที่สุดของโรงแรม ขนาด 116 ตารางเมตร ซึ่งจะมีเพียง 2 ห้องเท่านั้นครับ

Welcome Amenity Set นี้จะเป็นขนมเซ็ทใหม่ที่ทางเชฟเพิ่งเปลี่ยนเมนูไป ซึ่งจะประกอบไปด้วยขนมไทย 5 เมนูด้วยกัน เริ่มจากเมนูที่เป็นรสชาติอมตะตลอดกาลอย่าง ขนมไส้สับปะรด ที่อยู่ในรูปของทาร์ตรูปเรือ หรือจะเป็น ทาร์ตมะม่วงที่มีรสชาติไม่หวานมาก แต่หอมกลิ่นของมะม่วง อีกเมนูที่ไม่ควรพลาดคือขนมเทียนที่ทำออกมาเป็นรูปช้าง ที่หอมควันเทียนเด่นชัดมากครับ

เมื่อเราเดินเลี้ยวซ้ายเข้าห้อง เราจะพบกับห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ที่มาพร้อมกับโซฟายาว Smart TV ขนาด 47 นิ้ว ที่มีระบบ USB Hub พร้อมต่อเชื่อม HDMI เข้ากับจอ และระบบเสียงของ Bose มาพร้อมกับโต๊ะรับประทานอาหารส่วนตัวที่มาในรูปลักษณ์ทรงกลมเข้ามุมของห้องได้อย่างไม่น่าเชื่อครับ

Mood and Tone ภายในห้องเป็นอีกสิ่งที่ผมถูกใจครับ โรงแรมนำเอาไม้ Oak Veneer สีน้ำตาลเข้มมาเล่นกับสีขาวครีมของเฟอร์นิเจอร์ พร้อมกับพรมสลับสีนำพาวัสดุภายในห้องให้ไปในเรื่องราวเดียวกัน แสงโทนเหลืองได้ชูภาพรวมขององค์ประกอบสไตล์การตกแต่ง Modern Twist ได้เด่นชัดขึ้นให้บรรยากาศ อบอุ่นและโรแมนติกไปในเวลาเดียวกันครับ

นอกจากนี้ภายในห้องนั่งเล่นยังมีห้องน้ำรับแขก แยกจากห้องน้ำใหญ่ที่อยู่ภายในห้องนอนทำให้สะดวกต่อการใช้งานในเวลาที่แขกมาเยือน เพราะบางครั้งเราอาจจะไม่อยากให้แขกของเราเดินผ่านห้องนอน ถือว่าเป็นการเพิ่มความส่วนตัวให้กับเจ้าของห้องด้วยครับ

และอีกหนึ่งในความพิเศษสำหรับห้องสวีทของโรงแรมนี้ คือพื้นที่ระเบียงขนาดใหญ่ที่มาพร้อมกับโต๊ะกาแฟ เก้าอี้โยก และ Sofabed ที่จากมุมนี้ของห้องจะสามารถนั่งชมพระอาทิตย์ตกได้อย่างเต็มตา

มุม Mini Bar ที่นี่เรียกว่า Maxi Bar และ Maxi ตามชื่อ เพราะมุมนี้จะมีทั้งเครื่องชงกาแฟ ชา และอุปกรณ์ชงค็อกเทลแบบ Full Set รวมไปถึง Wine Sellar โดยกาแฟที่ให้บริการภายในห้อง จะเป็นกาแฟนำเข้าจากออสเตรเลียของ Vittoria Coffee และชา จะเป็น Monsoon Tea ชาไทยเกรดพรีเมี่ยมครับ

อุปกรณ์ชงค็อกเทลที่ Maxi Bar สามารถเรียกให้บาร์เทนเดอร์มาสอนทำได้ภายในห้องส่วนตัวเลยครับ

ห้องถัดมาที่ผมจะพาทุกคนมา Room Tour คือห้องนอน โดยเตียงนอนจะสามารถเลือกได้ทั้งแบบเตียงคู่หรือเตียงคิงไซส์ขนาดใหญ่ ซึ่งจุดเด่นของเตียง Posturepedic Ultra Plush ที่นอกจากความนุ่มสบายแล้ว ยังมาพร้อมกับชุดเครื่องนอนที่เลือกใช้ผ้าฝ้ายอียิปต์ที่ทอด้วยเส้นด้ายกว่า 400 เส้นครับ

เราจะเห็นความเป็นไทยแทรกตัวอยู่แทบทุกจุดภายในห้องครับ อาทิ รูปดอกบัวที่สื่อความเป็นไทย แต่ยังคงมีความร่วมสมัย รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจของโรงแรมที่อยากจะออกแบบห้องให้กลมกลืนความเป็นไทยเข้ากับความร่วมสมัยให้ดีที่สุด

I’m not taking selfies, I’m just checking my camera quality 🙂

ระบบเสียง และ ระบบไฟในห้อง สามารถปรับและควบคุมได้ครับ สามารถปรับแสงเปลี่ยนอารมณ์ภายในห้องตาม Mood and Tone ที่เราต้องการได้

เราเชื่อมต่อมาถึงมุมโปรดของใครหลาย ๆ คนอย่างห้องน้ำครับ ทางโรงแรมให้ความสำคัญกับห้องนี้ ด้วยการทำพื้นที่ห้องให้มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ และเลือกใช้หินอ่อน White Abarescato มาเป็นองค์ประกอบหลักของห้อง อยากจะให้ทุกท่านสังเกตถึงความใส่ใจในรายละเอียดของหินอ่อน ที่ทางโรงแรมพิถีพิถันเลือกสรรหินอ่อนที่มีลวดลายแพทเทิร์นเรียงติดเชื่อมเสมือนเป็นผืนเดียวกันตลอดทั้งห้อง ให้ความสวยงามในมิติที่แปลกตาไปจากลวดลายสะเปะสะปะตามธรรมชาติครับ

หน้าต่างของห้องน้ำจะเป็นหน้าต่างเต็มบาน เปิดรับวิวทิศตะวันออกฝั่งทองหล่อ ภายในห้องติดตั้งระบบเสียง ระบบแสง ที่สามารถปรับได้และควมคุมได้แยกอิสระจากห้องหลัก

Signature Bathtub ได้รับการออกแบบมาสำหรับที่ 137 Pillars โดยเฉพาะ เราจะสามารถใช้เวลาช่วงเช้าชมพระอาทิตย์ขึ้นระหว่างแช่น้ำได้อย่างเต็มตา หรือจะนั่งจิบไวน์ท่ามกลางวิวเเสงไฟยามเย็นและเสียงดนตรีฟังสบาย จะช่วงเวลาไหนก็สวยงามไม่ซ้ำกันครับ

นอกจากความพิเศษของห้องที่ทำให้ 137 Pillars ไม่เหมือนโรงแรมอื่น ๆ ที่อยู่ในเมืองแล้ว อีกหนึ่งบริการที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นคนพิเศษมากกว่าเดิมคือ การที่มีบริการ Butler ตลอด 24 ชั่วโมง ที่จะคอยดูแลผมตั้งแต่การ Check In ไปจนถึง Check Out มีบริการ Unpack-Repack กระเป๋า หรือจะเป็นการจองบริการต่าง ๆ ภายในโรงแรม Butler ก็จะรีบมาจัดการให้ครับ หรือหากต้องการจะตีฟอง แช่อ่างชิล ๆ ก็สามารถแจ้ง Butler ได้เลย

CHAPTER 3 : NITRA SERENITY CENTER
ผมกดลิฟต์ตรงมายังชั้น 28 ของโรงแรม มาที่ Nitra Serenity Center ครับ สปาของที่นี่มีจุดเด่นที่เทคนิคการนวด ที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย พื้นคืนความมีชีวิตชีวาให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

Welcome Drink ในวันนี้เป็นน้ำกระเจี๊ยบครับ เครื่องดื่มสมุนไพรไทยเติมความสดชื่นก่อนเริ่ม Treatment ของเราในวันนี้

วันนี้ผมเลือกที่จะนวดแพคเกจ Aromatherapy massage 60 นาที ผมเลือกนวดเน้นที่จุดคอ บ่า และ หลัง เพื่อคลายอาการปวดตึงจากการทำงานครับ Therapist ของที่นี่มีความเชี่ยวชาญครับ มีความเข้าในเรื่อง Anatomy ที่ดี ส่วนตัวน้ำมันหอมระเหยที่ใช้มีกลิ่นหอมชวนผ่อนคลาย ทำให้ 60 นาทีนี้เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เราผมรู้สึกได้พักผ่อนแบบเต็ม ๆ

ที่นี่เลือกใช้ Amenity จากแบรนด์ Alodia Spa มาใช้เป็นทรีทเม้นท์หลักของสปาครับ กลิ่นที่ชวนสงบของดอกไม้หอมได้เป็นส่วนเสริมเปิดการรับรู้ผ่านการสัมผัส ให้เด่นชัดและสมบูรณ์ได้ดีที่สุดครับ

Nitra Serenity Center, 137 Pillars Suites & Residences Bangkok

CHAPTER 4 : INFINITY-EDGE POOL ON THE ROOFTOP
มาถึงมุมโปรดที่สุดของผมครับ ที่ชั้น Rooftop ของโรงแรม กับสระ Infinity-Edge สระว่ายน้ำที่มาพร้อมกับวิวเมืองแบบ 360 องศา ที่จะเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงครับ

ความพิเศษของสระว่ายน้ำนี้ คือความเป็นส่วนตัวครับ เพราะสระนี้จะ Exclusive เฉพาะแขกที่เข้าพักห้อง Suite ทั้ง 34 ห้องเท่านั้น นอกจากนี้ใครที่สนใจที่จะจัด Private Dinner หรือ Private Pool Party ก็สามารถที่จะจองเพื่อปิดพื้นที่ทั้งชั้นได้ครับ

ช่วงเวลาที่ผมขึ้นไปจะเป็นช่วงสาย ๆ แดดจะยังไม่แรงมาก ผมว่าแสงสวยมากเลยครับ หรือว่าถ้าหากใครอยากโรแมนติกหน่อย ก็อาจจะขึ้นไปช่วงเย็นก่อนพระอาทิตย์ตกครับ

ด้วยความสูงของตึก 124 เมตร ทำให้ที่นี่เป็นสระว่ายน้ำเดียวในบริเวณนี้ที่เราจะสามารถชมวิวเมืองได้แบบ 360 องศา ขณะว่ายน้ำ

ลวดลายกระเบื้องของสระนี้จะเลือกใช้เป็นลายหินอ่อน ไล่ระดับไปจนกลายเป็นสีฟ้าอ่อน เวลากระทบกับแสงแดดแล้ว ดูสวยมากไปอีกแบบนะครับ

หรือถ้าหากใครขึ้นมาบนนี้ช่วงเย็น ๆ ก็จะมองเห็นวิวเมืองในอีกแบบหนึ่ง ด้วยแสงสีเหลืองกระทบกับตึกรามบ้านช่องต่าง ๆ ทำให้เมืองในช่วงเวลานี้แตกต่างออกไปจริง ๆ ครับ

ถ้ามองจากมุมไกลออกไป สระว่ายน้ำของโรงแรมก็ดูโดดเด่น จากตึกบริเวณโดยรอบของถนนสุขุมวิทเหมือนกันนะครับ

นอกจากสระว่ายน้ำของโรงแรมที่มีขนาดใหญ่และตั้งตระหงาดอยู่ใจกลางเมืองแล้ว ที่ชั้นนี้ยังมีอ่างจากุชชี่ที่สามารถปรับอุณหภูมิได้ทั้งหมด 2 อ่าง เหมาะสำหรับมานั่งแช่ชิล ๆ ชมพระอาทิตย์ตกดิน หรือว่าจะมาแช่คลายหนาวหลังจากที่ขึ้นจากสระว่ายน้ำก็ได้ครับ

CHAPTER 5 : BANGKOK TRADING POST
สวัสดียามเช้าในวันอาทิตย์ด้วยแสงแดดจากห้องพัก พร้อมกับเสียงท้องร้องที่บอกเป็นนัย ๆ ว่าถึงเวลาลงไปทานอาหารเช้าแล้ว ห้องอาหารเช้าของโรงแรมจะเสิร์ฟที่ Bangkok Trading Post เป็นห้องอาหารแนว Bistro and Bar แบบ All-day Dining ที่จะอยู่บริเวณด้านข้างทางเข้า Lobby ของโรงแรม

ภายในห้องอาหารจะตกแต่งด้วยโทนสีอุ่น ๆ ให้ความรู้สึกอยากอาหารขึ้นมาในทันทีเลยครับ การตกแต่งห้องอาหารที่นี่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Club ในยุคสมัยล่าอาณานิคม เป็นพื้นที่ที่พ่อค้า ขุนนาง นักธุรกิจ มาแลกเปลี่ยนความคิดกันในยุคนั้น

หรือถ้าหากใครเบื่อบรรยากาศในห้องแอร์ ก็สามารถเลือกไปนั่งโซน Outdoor ได้ และโซนนี้ยังเป็นโซน Pet Friendly ด้วยครับ

สำหรับใครที่เคยมาพักที่นี่ อาจเคยทราบว่า เราจะเลือกเมนู
ได้ไม่กี่เมนูเท่านั้นสำหรับ Breakfast แต่ปัจจุบันทางโรงแรมได้มีการปรับนโยบายใหม่ โดยการเพิ่มเมนูให้มากขึ้น และสามารถสั่งเมนู A La Carte ได้แบบไม่อั้นเลยครับ ซึ่งเมนูที่พนักงานให้มาคือมาทั้งหมด 4 หน้า สามารถสั่งได้เรื่อย ๆ เลยครับ ขอแค่ทานให้หมดเป็นพอ
โดยเมนูอาหารของที่นี่ถือว่าหลากหลายเลยครับ ตั้งแต่เมนูอาหารสไตล์ Western และ Asia ทั้งไทย จีน ญี่ปุ่น ไปจนถึงเมนูสุขภาพ และ bakery ครับ
รสชาติของอาหารที่นี่ถือว่าอร่อยถูกปากผมมากครับ แถมยังทำมาจากวัตถุดิบที่ดีด้วยครับ อันนี้เป็นเมนูที่ผมสั่งวันนี้นะครับ
- Scrambled eggs croissant with smoked salmon
- Egg benedict with smoked salmon
- Full English breakfast
- Artisan cold cuts and cheese selection
- Minute beef striploin steak
- French toast brioche with butter pecan

Stater: Tuna tataki sashimi with soy sauce and wasabi

Bangkok Trading Post, 137 Pillars Suites & Residences Bangkok

CHAPTER 6 : BOUTIQUE OF JEWELS AT BAAN BORNEO CLUB
ผมมาจิบชายามบ่ายที่ห้องอาหาร Baan Borneo Club โดยห้องอาหารนี้มีที่มาจาก story ของบ้านบอร์เนียวที่เชียงใหม่ครับ

การตกแต่งภายในจะตกแต่งให้มีความ Retro สไลต์ Gentleman club เลือกใช้โทนสีน้ำเงินและสีน้ำตาลตัดกับแชนเดอเลียร์สีทอง เล่นกับการใช้ไม้มาเป็นองค์ประกอบหลักของทั้งผนัง พื้น และ เฟอร์นิเจอร์ ทำออกมาได้สวย หรูหรา มีคลาสมากครับ

ห้องอาหาร Baan Borneo Club

สำหรับ Afternoon tea set ที่ผมสั่งวันนี้ เชฟได้แรงบันดาลใจมาจาก “ความงดงามแห่งอัญมณี (Boutique of Jewels)” ที่นำขนมต่าง ๆ มาตกแต่งเแทนอัญมณีและเครื่องประดับ ส่วน Presentation อาจจะไม่ได้เป็นเชิงจานสูงแบบที่เราคุ้นเคยกัน แต่เป็นถาดแบนที่ตกแต่งด้วยโลหะและแก้วแทนครับ

เมนูของหวานจะมีทั้งหมด 5 เมนู ซึ่งเมนูที่ผมชอบจะเป็น Mango Cheesecake ที่ท็อปข้างบนด้วย Mango Salsa และ Coconut Sauce หรือว่าถ้าใครชอบทาน Scone ที่นี่จะมีให้เลือก 2 รสชาติ คือ Plain และ Strawberry Scones ที่มาพร้อมกับครีม และแยม 2 รสชาติได้แก่ แยม Apricot Lavender และแยม Rhubarb Strawberry
ทานของหวานแล้วก็ต้องทานของคาวตัดเลี่ยนด้วย เมนู Savoury ของที่นี่จะมีด้วยกันทั้งหมด 5 เมนู เมนูที่ผมชอบที่สุดจะเป็น Avocado Scallop Tart with Caviar ที่มีทั้ง Avocado และ Caviar ที่ผมชอบมากครับ

นอกจากขนมหวานและคาวที่ดูน่าทานแล้ว ชาของที่นี่ก็ถือว่าเป็นชาระดับพรีเมียมที่ได้จากแบรนด์ Monsoon tea เป็นชาที่ผลิตในภาคเหนือของประเทศไทย แบรนด์นี้ได้รับการยกย่องในด้านการปลูกชาพื้นเมืองอย่างยั่งยืน โดยชาแต่ละตัวจะมีให้เลือกทั้งแบบร้อนและเย็น และ exclusive กว่าที่อื่นคือ Signature Blend ชาที่ปรุงแต่งรสมาเพื่อ 137 Pillars โดยเฉพาะ ซึ่งจะมีส่วนผสมของผลไม้ไทยอย่างชาเขียวมะรุมลำไย และชาอู่หลงอัญชันมังคุดครับ

CHAPTER 7 : NIMITR
Infinity-edge pool
นอกจากสระว่ายน้ำที่อยู่ชั้น Rooftop แล้ว ยังมีอีกหนึ่งสระว่ายน้ำ อยู่ชั้น 27 ซึ่งเป็นสระที่แขกทุกคนของโรงแรมสามารถเข้าใช้บริการได้ครับ

จุดเด่นของสระนี้คือ มีความยาวของสระถึง 25 เมตร ถือว่าน่าจะเป็นหนึ่งในสระว่ายน้ำบนตึกในโรงแรมใจกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดเลยครับ นอกจากนี้ก็ยังมีบ่อจากุชชี่ขนาดใหญ่ สามารถแช่น้ำพร้อมกับชมวิวเมืองได้ครับ

SunDowner cocktail
ถ้าหากใครมาว่ายน้ำช่วงเย็น ๆ จะสังเกตว่ามี bar อยู่ที่ด้านข้างของสระด้วย ตรงนี้จะเรียกว่า Marble Bar ซึ่งผมเข้าพักห้อง Suite ก็จะได้รับ Complimentary เป็น SunDowner Cocktail ที่สามารถเลือกสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่าง ๆ ได้แบบไม่จำกัด ตั้งแต่เวลา 6 โมงเย็นถึง 1 ทุ่ม หรือถ้าเกิดว่าอยากจะเปลี่ยนสถานที่นั่งดื่มไปที่ชั้น Rooftop ก็สามารถแจ้ง Butler ได้เลยครับ เมนูเครื่องดื่มที่ผมสั่งวันนี้จะเป็น Old Fashion แบบคลาสสิคครับ

Nimitr
คืนนี้ผมมาทานอาหารเย็นที่ห้องอาหารนิมิตร ที่เดินถัดมาจาก Marble Bar นิดเดียวครับ เป็นห้องอาหารแบบ Fine Dining ที่ล้อไปกับคอนเซปต์ของความฝัน หรือว่า “นิมิตร” ที่มาจากภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต

การตกแต่งภายในมาพร้อมกับดีไซน์ในโทนสีน้ำเงินและสีทอง ยิ่งถ้าช่วงกลางคืนภายในห้องอาหารจะสวยมาก ๆ ด้วยไฟบนเพดานสูงที่ลดหลั่นกันลงมาเป็นเส้นสายที่ดูงดงามมาก ๆ สร้างบรรยากาศให้เหมือนกับเรานั่งทานอาหารอยู่ในความฝันครับ

นอกจากนี้ที่ห้องอาหารก็ยังมีโซน Outdoor ที่สามารถนั่งตากลมชมวิวเมือง พร้อมกับชมพระอาทิตย์ตกได้ครับ พอเริ่มมืดลูกค้าก็เริ่มมาจับจองที่นั่ง ซึ่งถ้าหากอยากได้ที่นั่งวิวดี ๆ ผมอยากแนะนำให้จองที่นั่งมาล่วงหน้าครับ

อีกหนึ่งมุมถ่ายรูปที่ถ้ามาทานห้องอาหารนี้ไม่ควรพลาด เป็นมุมกระจกที่บริเวณพื้นถูกเจาะและปูด้วยกระจก ทำให้สามารถมองเห็นลงไปยังสวนสีเขียวด้านล่างได้ครับ ตอนผมไปถ่ายรูปก็แอบหวาดเสียวนิด ๆ อยู่เหมือนกันครับ

ทางห้องอาหารมีตัวเลือกให้เลือกทั้งแบบ A La Carte และ Course Menu ครับ ซึ่งมื้อนี้ผมเลือกทานเป็น Five Course Menu ที่จะประกอบไปด้วยอาหารและขนมรวมกันทั้งหมด 5 เมนู โดยจะเริ่มจาก Amuse-Bouce หรือเมนูของว่างเรียกน้ำย่อย ซึ่งเมนูนี้จะขึ้นอยู่กับเชฟว่าจะเสิร์ฟเป็นเมนูอะไรแตกต่างกันไปในแต่ละวัน
หลังจากเรียกน้ำย่อยแล้ว เราจะมาเริ่ม Course ด้วย Appetizes สามารถเลือกได้ 1 เมนูจากทั้งหมด 5 เมนู ของผมจะเลือกเป็น Fine de Claire Oyster No.3 platter of 5 pcs with condiments ครับ
ต่อมาก็จะเป็น Soups อย่าง Smoked Eel & Hamachi Dashi with Soba ซุปปลาที่ชูรสชาติและตัวตนของปลาไหลออกมาได้เต็มที่ และสมบูรณ์มากครับ
ก่อนที่จะล้างปากด้วย Cleanser อย่าง Citrus sorbet, wild pepper infused หรือเชอร์เบทมะแขว่น หลายท่านที่ไม่คุ้นเคยกับมะแขว่นหรือพริกหอม ผลไม้ที่ให้สัมผัสเผ็ดร้อนซ่าคล้ายพริกไทย เป็นเครื่องเทศหลักที่ใช้ในการทำลาบของภาคเหนือครับ ตัวเชอร์เบทมีรสชาติเปรี้ยวซ่าอมหวาน เปิดประสาทรับรสพร้อมรับจานต่อไป

มาถึงเมนูที่รอคอยอย่าง Main Courses ที่สามารถสั่งได้ 1 จากใน 4 เมนู แต่ละเมนูคือน่าทานมาก ๆ ครับ ซึ่งของผมเลือกทานเป็นเมนู Beef tenderloin served with spring vegetables and redcurrant sauce ในระดับความสุก medium rare เป็นอีกเมนูที่ทำได้ดีอีกเช่นกันครับ

ก่อนจะปิดท้าย Course นี้ด้วยเมนู Dessert อย่าง Raspberry yoghurt crémeux มูสไส้แยมราสเบอรี่ ปิดมื้ออาหารนี้อย่างสมบูรณ์ครับ

จบไปแล้วกับช่วง #StaycationingwithPYONG ที่มอบประสบการณ์การเข้าพักในโรงแรม 137 Pillars Suites & Residences Bangkok ที่ทำให้ผมได้ดื่มด่ำไปกับความประณีตในทุก ๆ องค์ประกอบพร้อมเรื่องราวของโรงแรมที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ นับเป็น Luxury Boutique hotel ที่ผสมเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ 137 pillars กับความสงบและส่วนตัวไว้ได้อย่างครบถ้วน สร้างบรรยากาศพิเศษที่หาได้ยากในย่านพร้อมพงษ์ หนึ่งในพื้นที่กลางเมืองที่จอแจที่สุดในกรุงเทพฯ
สำหรับใครที่สนใจอยากลองมาสัมผัสประสบการณ์แบบผม ตอนนี้ที่โรงแรมมีแพ็กเกจ Divine Gataway ที่เป็นแพ็กเกจพิเศษสำหรับคนไทยโดยเฉพาะ และถือว่าเป็นราคาที่ดีที่สุดเลยครับ สามารถ Early Check-In และ Late Check-Out ได้ สัมผัสความสะดวกสบายพร้อมกับสิทธิประโยชน์สำหรับผู้เข้าพักห้องสวีท แถมยังได้ SunDowner drink ด้วยครับ แพ็กเกจนี้สำหรับการเข้าพักห้องสุโขทัยสวีทเท่านั้นครับ
และโอกาสหน้าผมจะพาไปสัมผัสประสบการณ์การพักผ่อนพร้อมกับเรื่องราวดี ๆ ของโรงแรมแห่งไหนอีก รอติดตามชมได้ครับ
สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ
เปียง