ประสบการณ์ 11 ห้องอาหารทั่วกรุง ฯ ฉบับ ม.ค.-ก.พ. 2023
สวัสดีครับ ผมเปียง นอกจากการท่องเที่ยวที่ผมไปพบเจอกับเรื่องราวต่าง ๆ ประสบการณ์การรับประทานอาหารเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ผมรักครับ เป็นช่วงเวลาที่ดีให้ได้ปล่อยใจไปกับรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสไปกับอาหารจานพิเศษ ที่ทำให้เราได้อร่อย เพลิดเพลิน และเรียนรู้อะไรอีกมากมายเลยทีเดียว
ประสบการณ์การรับประทานอาหารนั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องของประสาทสัมผัสเท่านั้นครับ เรื่องราวเรื่องเล่าต่าง ๆ ที่แต่ละร้านนำเสนอ เป็นคาแรกเตอร์พิเศษของแต่ละที่ที่อยากจะส่งต่อให้กับแขกทุกท่าน ห้องอาหารทั้งแบบ fine dining และ casual dining หลาย ๆ แห่ง ทำในส่วนนี้ได้ดีมาก ๆ ครับ ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้แวะเวียนไปหลายแห่งอยู่เหมือนกัน วันนี้ถือโอกาสรวบรวม #PYONGsDish ประสบการณ์อาหารจากห้องอาหารที่ผมคิดว่าน่าบอกต่อมาแชร์ให้ทุกคนดูกัน
พร้อมแล้ว ตามไปชิมภาพสวย ๆ และเรื่องราวของผมในครั้งนี้ด้วยกันครับ
เปียง
Content Creator & Photographer: Kantaphong Thongrong
FACEBOOK – PYONG Traveller X Doctor
INSTAGRAM – pycaptain
YOUTUBE CHANNEL – PYONG : Traveller X Doctor
WEBSITE – www.pyongtravellerxdoctor.com
Location List
Sühring
Ojo
MotherBKK
Madison Steakhouse
Biscotti
La Scala
Celadon
Palmier
Riva Del Fiume
Lord Jim’s
Wah Lok

11 SEXY DISHES JAN-FEB 2023
ประสบการณ์ 11 ห้องอาหารทั่วกรุง ฯ ฉบับ ม.ค.-ก.พ. 2023

Location List
Sühring
Ojo
MotherBKK
Madison Steakhouse
Biscotti
La Scala
Celadon
Palmier
Riva Del Fiume
Lord Jim’s
Wah lok

นอกจากอาหารที่ดี บรรยากาศก็เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่ส่งผลอย่างมากกับประสบการณ์การรับประทานอาหารเช่นกัน

ประสบการณ์การรับประทานอาหารนั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องของประสาทสัมผัสเท่านั้นครับ เรื่องราวเรื่องเล่าต่าง ๆ ที่แต่ละร้านนำเสนอ เป็นคาแรกเตอร์พิเศษของแต่ละที่ที่อยากจะส่งต่อให้กับแขกทุกท่าน

Presentation ที่สวยงามสร้างความแตกต่างให้กับอาหารแต่ละจานได้อย่างไม่น่าเชื่อครับ ทั้งนี้ต้องมาจากต้นทุนของอาหารที่อร่อยอยู่แล้ว เพิ่มเติมด้วยหน้าตาที่ดูดี สามารถทำให้อร่อยเพิ่มขึ้นได้อีก อย่าลืมว่า ประสาทสัมผัสในการรับประทานอาหาร เราใช้ครบทุกอย่าง การมองเห็นก็เช่นกัน
ร้านไหนที่ผมไปมาในช่วงนี้บ้าง ผมรวบรวมมาให้ชมกันครับ

Sühring
ห้องอาหาร fine dining สัญชาติเยอรมันที่ผมเพิ่งไปมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ประทับใจในความประณีตและลงลึกในดีเทลของทุก ๆ จาน และทุก ๆ ส่วนประกอบของเชฟ Mathias และ Thomas โดยส่วนตัว ผมไม่ค่อยรู้จักกับอาหารสัญชาตินี้เท่าไหร่ แต่เชฟออกแบบมาให้เราเข้าใจและเข้าถึงได้ครับ น่าสนใจที่หลายเมนูทำออกมาเป็นคำเล็ก ๆ ที่ออกแบบมาเพื่อรับประทานในคำเดียว ทำให้ได้รสชาติที่กลมกล่อม และมีสัมผัสที่แตกต่างกันมากมายในคำเดียว กรอบ นุ่ม ลื่น เหลว ปนใน 1 คำ

คำนิยามที่ผมให้กับอาหารแต่ละเมนูของที่นี่คือ ‘งานศิลปะ’ ครับ มันมีความลงตัวในขนาด portion มีดีเทลเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เราได้พินิจในทุกคำ และส่วนมาก เราจะเดาไม่ค่อยออกว่ามันทำมาจากอะไร แต่พอเมื่อได้รับประทานเข้าไป เราจะรู้สึกถึงการไปเชื่อมโยงกับประสบการณ์อาหารในอดีต ผสมกับเรื่องที่พนักงานเล่าให้ฟังก่อนรับประทาน จะทำให้เราอินกับแต่ละคำมากขึ้น นี่คงเป็นสิ่งที่พิเศษสุด ๆ ของห้องอาหาร Michelin 2 ดาวแห่งนี้ครับ

Sühring, 2023

Ojo
อีกห้องอาหารที่ถือได้ว่าเป็น Destination ของเหล่านักชิมที่ผมอยากจะพาทุกท่านไปรู้จักกัน ที่นี่คือห้องอาหาร Ojo หรือ โอโฮ ห้องอาหารเม็กซิกัน fine dining ที่ตั้งอยู่บนชั้น 76 ของตึกมหานคร บรรยากาศภายนอกรายล้อมด้วยวิวกรุงเทพฯ กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาครับ ล้อไปกับความหมายของ Ojo ที่แปลว่าดวงตาในภาษาสเปน ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากการที่ห้องอาหารตั้งอยู่ในจุดนี้นั่นเอง
ห้องอาหารโอโฮถูกออกแบบและตกแต่งโดยสตูดิโอออกแบบระดับโลกอย่าง Ou Baholyodin Studio ต่อยอดมาจากเสน่ห์ของอเมริกากลางที่ผสมผสานความเป็นยูโรเปี้ยน แอฟริกัน และเอเชียนลงไป สะท้อนความประณีตหรูหราด้วยโลหะและหินอัญมณีในห้องโถงโอ่อ่ากว้างขวาง สร้างเป็นประสบการณ์การรับประทานอาหารที่พิเศษสำหรับแขกทุกท่านครับ
ที่นี่มีโซนเอ้าท์ดอร์สำหรับผู้ที่อยากสูดอากาศบริสุทธิ์ด้วยนะครับ เพราะที่นี่ถือได้ว่าเป็นห้องอาหารกลางแจ้งที่สูงที่สุดในประเทศไทยเลยก็ว่าได้

ห้องอาหารโอโฮได้จับมือกับเชฟมากประสบการณ์จากประเทศเม็กซิโกอย่างเชฟ Francisco “Paco” Ruano ผู้มีประสบการณ์ในแวดวงอาหารมาอย่างยาวนานและได้รับรางวัลมามากมาย รวมถึงรางวัล Latin America’s 50 Best Restaurant โดย 50 Best เป็นเครื่องการันตีประสบกาณ์สุดพิเศษสำหรับแขกทุกท่าน ด้วยการนำเสนออาหารเม็กซิกันที่แท้จริงครับ
อาหารเรียกน้ำย่อย
– Coconut Ceviche เสิร์ฟมาในลูกมะพร้าว กับถั่วเหลืองหมัก leche de tigre และพริกเหลือง ให้รสชาติออกเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดนิด ๆ สดชื่นดีครับ
– Ojo Guacamole กัวคาโมเล่เป็นส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้สำหรับอาหารเม็กซิกันครับ เพิ่มความพิเศษด้วยเนื้อปู น้ำมันกุ้ง tostadas ข้าวโพด และไข่ปลาแซลมอนครับ รสชาติจะออกมัน ๆ นัว ๆ
– Bone Marrow จานนี้เรียกได้ว่าห้ามพลาดกันเลยทีเดียวครับกับไขกระดูก ที่เสิร์ฟพร้อมพริกย่าง ซัลซ่าเผา และเคลือบหน้าข้าวคั่วบรูว์เล (เหมือนแครมบรูว์เลแต่ใช้เป็นข้าวคั่วแทนครับ) รับประทานคู่กับแป้ง tortillas ร้อน ๆ หอม ๆ สูตรพิเศษของทางร้านยิ่งอร่อยอย่างบอกใครครับ
– Australian Wagyu Carne Apache ทาร์ทาร์เนื้อวัว มาพร้อมกับกุ้งแห้ง chicharron(คล้าย ๆ แคปหมูของไทย) พริกแห้งเม็กซิโก และถั่วพีนัท คลุกให้เข้ากัน กรอบ ๆ ทานเพลินดีครับ

จบจากอาหารเรียกน้ำย่อยต่อด้วยจานหลักทั้งสองเมนูครับ คือ
– Birria เนื้อส่วนซี่โครงตุ๋นกับซอส Jalisco adoba เคียงด้วยหอมใหญ่เผาและซอส เนื้อนุ่มชนิดที่ไม่ต้องใช้แรง แค่ใช้ช้อนตักเบา ๆ ก็สามารถตัดได้ คู่กับซอสรสชาติเข้มข้นครับ
– Carnitas เนื้อหมูส่วนซี่โครงกงฟี หรือเนื้อหมูตุ๋นน้ำมัน เลเยอร์ด้วยผิวที่เกรียมเล็กน้อยกับซอสซัลซ่า ทานเคียงกับผักดองและผักชีลาว เป็นจานเนื้อสัตว์อีกจานที่นุ่มอย่าบอกใคร เมื่อตักเข้าปากจะได้กลิ่นหอมจากส่วนประกอบต่าง ๆ ตลบอบอวลไปทั่วปากครับ
และปิดท้ายมื้อด้วยของหวานอีกสองอย่างครับ
– Chamoy Sorbet ซอร์เบ Chamoy ซึ่งเป็นซอสเผ็ดชนิดหนึ่
งของเม็กซิโกที่ทำจากผลไม้ดองกับพริกและเหล้าเม็กซิโกชนิดหนึ่งครับ เป็นไอศกรีมเผ็ดที่น่าสนใจมากทีเดียว
– Arroz con leche เป็นอีกหนึ่งเมนูนำเสนอของห้องอาหารโอโฮครับ ส่วนประกอบหลัก ๆ คือข้าวครีมวานิลา ไอศกรีมซินนาม่อน แผ่นบรูว์เลน้ำตาล ไวท์ช็อกโกแลตเผา และเกล็ดนมถั่วเหลืองครับ จานนี้จะให้รสชาติต่างจาก Chamoy Sorbet ด้วยรสชาติหวานนวล และสัมผัสนุ่มนวล ที่เสริมด้วยความกรอบจากแผ่นบรูว์เลน้ำตาล และกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของไวท์ช็อกโกแลตเผา เป็นอีกเมนูแนะนำปิดท้ายที่ทำให้มื้อนี้สมบูรณ์แบบครับ

MotherBKK
ร้านอาหาร fine dining ย่านเจริญกรุงแนว Asian Twist ที่ถ่ายทอดอาหารโซนเอเชียให้ออกมาแปลกใหม่และเปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ สำหรับคำว่า Mother ในชื่อร้าน มาจาก “Mother Of Earth” ตัวแทนของผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ แหล่งอาหารของสรรพสัตว์นั่นเอง

คอร์สที่ผมมารับประทานในครั้งนี้คือ “STREET FOOD, STREET HOOD” เมนูอาหารที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสตรีทฟู้ดชื่อดังของไทยและโซน ASEAN ไม่ว่าจะเป็น ขนมกุยช่าย ไก่ทอด ปลาดุกย่าง ส้มตำ เฝอ สะเต๊ะ เป็นต้น แต่จะไม่มีอะไรที่หน้าตาเหมือนที่เรารู้จักเลยครับ หนังไก่ทอดเอามาเป็นเหมือนแครกเกอร์ ส้มตำกลายเป็นมะละกอเส้นเดียวหนา ๆ ที่ชุบในน้ำยำพร้อมเจลมะเขือเทศ กุยช่ายที่ถูกปั่นเป็นแป้งเครป สะเต๊ะแลมป์ที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อย ไอติมหลอดเสียบไม้รสฝรั่งแช่บ๊วย หรือ เซ็งซิมอี๊ที่คลุมด้วยฟิล์มเฉาก๊วย เชฟสร้างเซอร์ไพรส์ในทุก ๆ จาน สนุกกับเรื่องราวและ presentation ที่สร้างสรรค์ของแต่ละจาน อร่อยกับรสชาติที่เข้าใจง่ายจนพูดได้เลยว่าอร่อยทุกเมนู ดีงามครับ แนะนำให้ลองไปชิมกันนะครับ

การตกแต่งภายในของที่นี่ ให้รู้สึกถึงความเรียบง่ายแต่แฝงดีเทลที่น่าสนใจ จากคอนเซ็ปต์ของการเป็นตัวแทนของผืนดิน ที่นี่เลือกใช้เอิร์ธโทน สีน้ำตาลอ่อน สีครีม และ สีขาวแบบผ้าดิบ ใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้สีอ่อน ทำผนังเป็นลายขรุขระแบบดิบ ๆ โดดเด่นที่สุดคงจะเป็นรากไม้ขนาดใหญ่ที่ห้อยลงมาจากเพดานชั้น 2 ที่เป็น double volume ตัดด้วยดีไซน์แบบโมเดิร์นในห้องกระจกกรอบดำของ Open Kitchen กับการโชว์ลีลาของเชฟในการปรุงอาหารแต่จาน ทั้งหมดนี้ทำให้ที่นี่ดูเป็นห้องอาหารที่ดูเท่ไม่เบาเลยทีเดียว

Madison Steakhouse
ที่ห้องอาหาร Madison Steakhouse ณ Anantara Siam Bangkok Hotel หนึ่งในสเต๊กเฮ้าส์ระดับตำนานของไทย กับชื่อเสียงที่มีมาอย่างยาวนานครับ วันนี้ปรับโฉมใหม่ด้วย Chef de Cuisine คนใหม่ Chef Christian Caluwaert ที่มาพร้อมดีกรีอดีต Chef de Cuisine ณ ห้องอาหารฝรั่งเศสและสเต๊กเฮ้าส์ชื่อดังหลายแห่งในกรุงเทพฯ ที่นี่เชฟได้รังสรรค์เมนูใหม่และเพิ่มเทคนิคในการปรุงอาหารแบบเฉพาะตัวลงไปในเมนูยอดนิยมของห้องอาหารเดิม โดดเด่นสุด ๆ เลยคงเป็นอาหารพอร์ชันยักษ์ตามสไตล์สเต๊กเฮ้าส์ที่ทำเอาผมประทับใจในความอลังการของทุก ๆ เมนูที่เสิร์ฟ

ที่สุดแล้ว ผมยกให้ซีฟู้ดแพลทเทอร์ในภาพขวาบนเป็นจานที่ชอบที่สุดครับ มีขาปูยักษ์ และ แคนาเดียนล็อบสเตอร์ และอีกมากมาย เหมือนยกทะเลมาไว้บนนี้ สดมาก อร่อยมาก อีกเมนูที่จะไม่สั่งไม่ได้เช่นกันก็คือสเต๊กไดแอน ที่มาพรีเซนเตชันการปรุงซอส Cognac Flambée กันข้างโต๊ะ ส่งกลิ่นหอมไปทั้งร้าน เมนูแนะนำอีกตัวยกให้บอสตันล็อบสเตอร์ย่างเนยสมุนไพรครับ ตั้งแต่กัดคำแรกก็รู้สึกเคลิบเคลิ้มไปเลยทีเดียวด้วยกลิ่น สัมผัส และรสชาติละมุนลิ้นของเนื้อกุ้ง ทั้งหมดนี้นำไปแพร์ริงกับไวน์ดี ๆ จะเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมที่สุดเลยครับ

ที่นี่มีเมนูหอยทาก escargot กับ crab cake มาให้สั่งด้วยนะครับ ควรลองครับ

Biscotti
Biscotti ห้องอาหาร Italian contemporary style ณ โรงแรม Anantara Siam Bangkok Hotel นับว่าเป็นอีกห้องอาหารคู่กรุงเทพฯ ที่อยู่คอยให้บริการแขกมาแล้วมากกว่า 30 ปี เต็มไปด้วยเรื่องราว ชื่อเสียง และ ฐานลูกค้าประจำที่ยังคงเหนียวแน่นแม้เวลาจะผ่านมานานแล้วก็ตาม ล่าสุดเพิ่งรีโนเวตใหม่ครับ ตกแต่งด้วยสีอิฐส้ม earth tone สไตล์อิตาลี แต่ยังคงไว้ซึ่งเสน่ห์ของ open kitchen และเตาอบพิซซ่าดั้งเดิม

– Focaccia Mascarpone คงจะเป็นเมนูที่ไม่สั่งถือว่าผิดของที่นี่ครับ แป้งกรอบ ๆ สอดไส้ชีส พร้อมด้วยกลิ่นทรัฟเฟิลที่ลอยเตะจมูก เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากที่สุดครับ
– Burrata Campana ชุ่มฉ่ำไปทั้งปากด้วยเนื้อ creamy ที่แน่น แต่ก็เหลวได้ในปาก กลมกล่อมกำลังดี เสิร์ฟพร้อม Parma Prosiuto Chips และผลไม้นานาชนิต
– Pan Seared Chilean Seabass เมนูอาหารทะเลเป็นอีกรูปแบบที่ห้องนี้ทำได้ดีมากครับ เนื้่อปลาดี
– 12hr Slow-Cooked A5 Wagyu Beef Cheeks เมนูเมนอีกตัวที่น่าสั่งครับ เป็นเนื้อนุ่ม ๆ แบบละลายในปาก โปะบน Acquerello Saffron Risotto ทานได้เพลิน ๆ แบบ sharing

Biscotti เป็นชื่อของอัลมอนด์บิสกิตอิตาเลียนที่มีต้นกำเนิดที่เมือง Prato ในเขต Tuscan มีรากศัพท์มาจากแหล่งเดียวกับคำว่า Biscuit และมีความหมายเดียวกับคำว่าคุกกี้ในสำเนียงอเมริกัน ห้องอาหาร Biscotti โดย เชฟ Kevin Montorfano ผู้ถือสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ ในสมัยเด็ก เชฟเติบโตในเมืองตีชีโน (Ticino) ตอนใต้ของสวิสที่ติดกับอิตาลี จึงมีความชื่นชอบอาหารอิตาเลียนมากเป็นพิเศษ เชฟนำเทคนิคส่วนตัวผสมผสานเข้ากับเมนูต้นตำหรับของห้องอาหาร ผ่านความตีความใหม่ และ งานศิลปะบนจานที่ยากที่ใครจะสามารถเลียนแบบได้ กลายเป็นอาหารที่สวยและอร่อยมาก

La Scala
La Scala Bangkok ห้องอาหารอิตาเลียน ณ โรงแรม The Sukhothai Bangkok ครั้งนี้มาลองเมนูใหม่ประจำฤดูหนาวของเชฟ Eugenio Cannoni เชฟใหญ่ชาวอิตาเลียนโดยกำเนิดจาก Piedmont ครั้งนี้เชฟได้พาผมไปพบกับอีกมุมมองของอาหารอิตาเลียนที่อร่อยและสนุกเป็นที่สุดครับ

‘สวยและว้าว’ นิยามได้สั้น ๆ เลยครับสำหรับทุก ๆ จานใน Gastronomic Journey (Wine Pairing) ประทับใจตั้งแต่คำแรกที่เปิดมาด้วย Oyster ที่โปะด้วยครีสชีสด้านบน เข้ากันแบบไม่น่าเชื่อด้วยความเค็มจากชีสและน้ำทะเลที่ค่อย ๆ ซึมบนลิ้น
ต่อด้วย Snow Fish สอดไส้ซอส Salsa ที่เข้ากันอย่างดี
มาถึงเมนูที่ผมเซอร์ไพรส์มากที่สุดก็คือ Spaghetti กับซอสที่เกิดจากการผสมของ ‘Nduja ไส้กรอกเนื้อแยมของอิตาลี และ Caciucco Soup Reduction ซึ่งทั้งคู่มีรสชาติเค็มและเผ็ดร้อน คำแรกจะรู้สึกว่าแรงไป แต่พอทานไปซักพัก จะรู้ว่าหยุดทานไม่ได้เลยจนหมดจานครับ ยิ่ง Wine Pairing ยิ่งดี
และ สุดท้ายคือเมนของเรา Dry Aged Short Ribs, Uni, Green Turnips แค่หน้าตาก็กินขาดแล้ว รสชาติน่าสนใจไม่แพ้กันตรงที่เชฟใช้ uni ที่ให้รสนัว ๆ ขับความฉ่ำของเนื้อให้เข้มข้นมากขึ้น กลายเป็นเมนูที่อร่อยและน่าประทับใจมาก ๆ ครับ

ที่นี่มีดริ๊งค์ที่มาทวิสต์กับคอมบูชาด้วยนะครับ อร่อยมาก ๆ เช่นกัน

Celadon
ห้องอาหาร Celadon หรือ ‘ศิลาดล’ ณ โรงแรมสุโขทัย กรุงเทพฯ ห้องอาหารไทยระดับ fine dining อันดับต้น ๆ ในใจใครหลาย ๆ คน กับความอร่อยแบบไทยแท้ที่สั่งสมชื่อเสียงมาเป็นเวลาอย่างยาวนาน อาคารทรงไทยร่วมสมัยมาพร้อมด้วยรายละเอียดด้านในสุดวิจิตร ขนาบด้วยสระบัวใบใหญ่และแมกไม้นานาชนิด น่าจะเป็นภาพจำของแฟน ๆ ห้องอาหารแห่งนี้ครับ ความสวยงามที่ยังมีอยู่เดิม แต่ถูกเพิ่มเติมด้วยความสร้างสรรค์ของเชฟริน ผู้อยู่เบื้องหลังมื้อพิเศษในวันนี้ โดยเมนูใหม่ของศิลาดลจะคัดสรรอาหารจานเด่นของไทย เช่น พร่า ต้มแซ่บ กุ้งเผา แกงเผ็ด ฯลฯ แล้วนำมาตีความใหม่ให้สนุก แปลกตา และดูทันสมัยมากขึ้น แต่ยังคงไว้ด้วยรสชาติอาหารแบบเข้มข้นและกลมกล่อมครบรสตามสไตล์อาหารบ้านเรา กล่าวคือ หน้าตาอาหารแปลกไป แต่ความอร่อยแบบไทยยังเหมือนที่เราคุ้นเคยกันครับ ระหว่างนั่งรับประทานก็จะมีโชว์นาฏศิลป์ให้เราชมด้วยครับ

ครั้งนี้ผมรับประทานแบบ Tasting Menu (Full Experiece – 8 Courses) เป็นการเสิร์ฟแบบ fine dining ที่รวมอาหารจานแนะนำเอาไว้อย่างครบถ้วนครับ เพิ่มความพิเศษให้มื้อนี้ด้วยเครื่องดื่ม pairing ครับ
– หนังไก่ทอดกรอบน้ำพริกข่า; หนังไก่แล่บาง เอาชั้นไขมัน subcu ออกเกือบหมด เหลือแค่ชั้น dermis กรุบกรอบละลายในปาก ให้มาเพียงแผ่นเดียว แต่เป็นเมนูเปิดที่ประทับใจมาก
– ค้างคาวเผือกกุ้งแม่น้ำลูกหม่อน
– พร่าปลาทรายมังคุดคัด; อร่อยมาก ด้วยรสชาติชวนเซอร์ไพรส์ของมังคุดคัดที่มองด้วยตาเปล่าไม่รู้ว่ามันคืออะไร
– ต้มแซ่บหอยเชลล์ใบชะมวง
– กุ้งแม่น้ำสามสายย่างไม้โมก; จานเด่นตลอดกาลของที่นี่ ถ้าพูดถึงกุ้งแม่น้ำเผาที่ไหนอร่อยที่สุด เชื่อว่าศิลาดลต้องเป็นหนึ่งในนั้นแน่นอนครับ ความดีงามอยู่ที่น้ำจิ้มที่ทำจากมันกุ้งที่ให้มาด้วย
– แกงสิงหลแก้มวัว
– มะระหวานผัดไข่
– กระเจี๊ยบดอกจอกกับไอติมลูกตาลสด; ปิดท้ายตัดความเผ็ดด้วยรสลูกตาลสด ลงตัวครับ

เป็นมื้ออาหารไทยที่ประทับใจ หากมีโอกาสลองแวะไปชิมกัน ช่วงนี้ไม่ได้เปิดทุกวันนะครับ หากจะไปอย่าลืมเช็คดี ๆ เพราะวันที่ผมไป โต๊ะเต็มครับ

Palmier
Palmier เป็นห้องอาหารฝรั่งเศสบรรยากาศสบาย ๆ ที่ตั้งอยู่ในโรงแรม Four Seasons Hotel Bangkok นำเสนออาหารฝรั่งเศสสไตล์บราสเซอรี่คลาสสิก โดยเน้นวัตถุดิบจำพวกปลาและอาหารทะเล นอกจากนี้ในห้องอาหารยังมี Wine & Oyster Bar คอยให้บริการอีกด้วยครับ
ร้านอาหารแห่งนี้นำโดยเชฟชาวฝรั่งเศส นิโคลัส เรย์นัล (Nicolas Raynal) ซึ่งสำหรับอาหารฝรั่งเศสทั่วไปแล้วภาพจำของหลาย ๆ คนอาจจะเป็นภาพของการรับประทานอาหารที่มากด้วยพิธีรีตอง แต่สำหรับที่นี่ สบายและสนุกกว่าที่คิดไว้มาก ๆ ครับ
ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าการตกแต่งโดยรวมนั้นจะไม่ใช่สไตล์ Art Deco เสียทีเดียวครับ ด้วยชื่อร้าน Palmier นี้แปลตรง ๆ ก็คือต้นปาล์ม ดังนั้นสไตล์ที่เขาเลือกนำมาใช้ในการออกแบบจะมีแนวทางในลักษณะ Modern Tropical ปนกับ French Colonial หน่อย ๆ เกิดเป็นบรรยากาศสบาย ๆ เสมือนนั่งอยู่ริมชายหาดตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศสนั่นเองครับ
การตกแต่งร้านที่มีการจัดวางที่นั่งเป็นซุ้ม ๆ และเชื่อมต่อกันด้วยเก้าอี้ ชวนให้นึกถึงรถไฟยาวแบบยุโรปอย่างบอกไม่ถูก

ออเดิร์ฟขนมปังสไตล์ฝรั่งเศสพร้อมกับเนยรสกลมกล่อม ดื่มคู่กับค็อกเทลดี ๆ ในยามบ่าย เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ ครับ ผมเลือก Palmier Old Fashioned ดีงามมาก ๆ เข้ากันอย่างดีกับชีสที่โปะไว้ด้านบน
Sea Bream Tartare, Pineapple, Basil & Fennel Cream, Ginger Pickles รสชาติสดชื่นครับ
และจานต่อไปอย่าง Sole Grenobloise ที่นำมาเสิร์ฟแบบ Tableside ครับ เป็นเทคนิคการเลาะก้างและตัดแต่งเนื้อปลาให้สวยงามน่ารับประทาน โดยทางเชฟนิโคลัส เรย์นัล (Nicolas Raynal) ได้ออกมาอธิบายรายละเอียดเมนูให้เราอีกด้วย จานนี้อร่อยมากครับ
Steak-Frites, cafe de Paris Butter
ถือเป็น French Classics อีกจานครับ เนื้อ Rib Eye ฉ่ำ ๆ กับเนย cafe de Paris ทำออกมาได้ดี เนื้อนุ่ม สำคัญที่ตัวเนยคืออร่อยมากครับ พอหอมปากหอมคอครับ กับห้องอาหารแรกของเราในวันนี้

อีกหนึ่งเมนูดริ๊งค์ที่เป็น Original ของที่นี่ครับ
Palmier Old Fashioned
(Monkey Shoulder Blended Malt, Apricot, Honey, Absinthe, Bitters)

Riva Del Fiume
อีกห้องอาหารที่ตั้งอยู่ในโรงแรม Four Seasons Hotel Bangkok เช่นกันครับ กับ Riva Del Fiume Ristorante ร้านอาหารอิตาเลียนกับบรรยากาศริมน้ำซึ่งนำโดย Executive Chef Andrea Accordi และทีมเชฟมากประสบการณ์กับเมนูอาหารในรูปแบบ Modern Italian ครับ
Riva = River ดังนั้นบรรยากาศโดยรวมในร้านนั้นจึงได้แรงบันดาลใจมาจากริมทะเลสาบโคโม่ (Lake Como) ในแคว้น Lombardy โดยเน้นความรู้สึกจากงานไม้ต่าง ๆ ประหนึ่งคฤหาสน์ริมทะเลสาบ ซึ่งนอกจากด้านในแล้ว แขกยังสามารถเพลิดเพลินกับบรรยากาศริมน้ำเจ้าพระยาได้อีกด้วยครับ

ส่วนหนึ่งของ Course Menu ของผมในวันนี้ครับ จากทั้งหมด 7 คอร์สด้วยกัน โดยจะเป็นจาน Modern Italian พร้อมกับวัตถุดิบทั้งในน้ำและบนบก
ซ้ายบน : Gameretti Blue
(Blue Baby Shrimps, Noto Almond Gazpacho, Bottarga)
ขวาบน : Polipo alla Brace
(Grilled Octopus, Smoke Cucumber, Bell Pepper Crisp) เป็นเมนูที่สวยงามมากครับ เข้าใจคิดในการใช้ซอสที่มีความหนาแน่นต่างกัน มาซ้อนเป็นเลเยอร์ จากนั้นราดลงมา กลายเป็นซอสที่อร่อย และยังเป็น presentation ที่ดีอีกด้วย
ซ้ายล่าง : Cappello del Prete
Oyster Blade 150gr. ดีงามที่สุดคงต้องเป็น main course จานนี้เนี่ยแหละครับ กับการใช้เนื้อ Mayura ในส่วน Oyster Blade หรือเนื้อส่วนใบพาย ซึ่งความพิเศษของเนื้อ Mayura ก็คือเป็น Full Blood Wagyu ที่เลี้ยงในออสเตรเลียโดยใช้ช็อคโกแลตครับ นุ่มและหอมอร่อยเป็นอย่างยิ่งครับ
ขวาล่าง : Alfonsino di Mare con Calamari e Agrumi
(Robata Grilled Kinmedaim, Calamari, Green Beans, Olive Oil Sabayon, Crispy Sakura Shrimp)

Open Kitchen ที่ดึงสายตาของผู้มารับประทานในบางจังหวะที่มีความวุ่นวายเกิดขึ้นในครัว ผมชอบแผ่นหินอ่อนข้างหลังครับ พอมองรวม ๆ กันแล้วเป็นภาพครัวที่สวยมากเลยทีเดียว

Lord Jim’s
องค์ประกอบสำคัญของโรงแรมก็คือบุฟเฟต์นานาชาติครับ สำหรับแมนดาริน โอเรียนเต็ล แห่งนี้ ห้องอาหารลอร์ด จิมส์ (Lord Jim’s) นี้คืออีกหนึ่งหมุดหมายที่คอบุฟเฟต์ต้องมาลิ้มลองสักครั้งในชีวิต ให้บริการอาหารเลิศรสและหลากหลายมาแล้วกว่า 46 ปีที่เปิดให้บริการมา ห้องอาหารลอร์ด จิมส์ แห่งนี้ได้ถูกขนานนามว่า “ห้องนั่งเล่นของกรุงเทพฯ” เพราะความนิยมที่แขกทั้งชาวไทยและเทศมีให้แก่ห้องอาหารแห่งนี้อย่างมิเสื่อมคลาย เรียกได้ว่าเป็นบุฟเฟต์นานาชาติแห่งแรกในประเทศไทยเลยก็ว่าได้
สำหรับชื่อนั้นมาจาก Joseph Conrad นักประพันธ์ชื่อดังชาวอังกฤษที่ได้มาเยือนโรงแรมแห่งนี้ในอดีต โดย ‘Lord Jim’ คือชื่อกะลาสีเรือ ซึ่งเป็นตัวละครสำคัญในหนังสือของเขานั่นเอง โดยนำสถานที่บนเรือของเรื่อง มาปรับใช้กับการตกแต่งห้องอาหารแห่งนี้ เป็นการนำมรดกทางวัฒนธรรมมาตีความในงานดีไซน์ได้อย่างน่าสนใจครับ

เมนูหลากหลาย นับร้อยอย่าง ถูกจัดแจงออกมาได้อย่างไม่มีที่ติครับ ให้ภาพเป็นคนอธิบายครับ ช่วงก่อนนี้ห้องอาหารเปิดให้บริการเฉพาะวันหยุด แต่ตอนนี้ ที่นี่กลับมาให้บริการแบบเต็มรูปแบบในทุก ๆ วันแล้วนะครับ Lord Jim’s บุฟเฟ่ต์นานาชาติแห่งแรกในประเทศไทย ณ โรงแรม Mandarin Oriental Bangkok และยังคงเป็นตำนานเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันครับ
นอกจากไลน์อาหารบุฟเฟต์แล้ว บนโต๊ะจะมี List Menu ที่สามารถสั่งกับบริกรได้ครับ สำหรับหลาย ๆ เมนูที่จะทำสดใหม่ทุกจาน เพื่อให้ได้คุณภาพอาหารสูงสุด อย่าง Lamb Rack นี้เขาก็ย่างมาเสิร์ฟถึงโต๊ะเลย หรือจะเป็นตัวซุปเยื่อไผ่ และหอยแมลงภู่อบไวน์ขาว อร่อยทุกเมนูครับ

ที่นี่มีพนักงานหลายท่านที่เรียกได้ว่าเป็นบุคคลอันเป็นที่รักของแขกเอามาก ๆ และใช้เวลามากกว่าครึ่งชีวิตของพวกเขาให้บริการด้วยจิตใจครับ อย่างคุณกฤษณ์ คุณริน และอีกหลาย ๆ ท่าน ว่ากันว่าปัญหาใดในห้องอาหารจะถูกแก้ไขได้ถ้ามีพวกเขาอยู่ พวกเขาจำแขกที่เคยมาใช้บริการได้ แพ้อะไร ชอบนั่งตรงไหน ชอบดื่มอะไร ชอบตักอะไร เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่หาตัวจับได้ยากครับ

Wah Lok
ปิดด้วยร้านสุดท้ายของโพสต์ที่ห้องอาหารจีนสไตล์กวางตุ้งชื่อดัง Wah lok ณ Carlton Hotel Bangkok Sukhumvit เป็นหนึ่งในห้องอาหารที่จอแจสุด ๆ ในช่วงวันหยุดครับ ส่งตรงมาจากห้องอาหารจีนระดับตำนานที่สิงคโปร์ ที่ไทยนำโดยเชฟแลม ก๊อก เวง (Lam Kok Weng) เชฟผู้มากประสบการณ์ด้านอาหารจีนยาวนานกว่า 15 ปี ที่เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Wah Lok สาขาสิงคโปร์มาทำอาหารให้

ห้องอาหารใหญ่โอ่โถง สามารถรองรับคนหลักร้อยได้สบาย ๆ ตกแต่งอย่างหรูหรากลิ่นอาย modern oriental เหมาะกับการมากับครอบครัวครับ สำหรับอาหารในครั้งนี้แน่นอนว่ามันจะต้องพิเศษที่สุดครับ รับประทานนาน ๆ ทีพอได้นะครับ แต่ถ้าบ่อย ๆ ผมเกรงว่ามันอาจจะมีแคลอรีที่สูงเกินไปนิดนึง รับประทานแต่พอดี พออร่อยนะครับ
– เป็ดปักกิ่ง เป็ดของที่นี่ดังอยู่แล้วในแง่ของการย่างที่พิถีพิถัน หนังบางชั้นไขมันน้อย กรุบกรอบมาก เสิร์ฟคู่กับเครื่องเคียง ที่เติมเต็มมื้ออาหารจีนให้เฟอร์เฟ็คได้เป็นอย่างดี เนื้อเป็ดผมใส่ไปทำเป็นคั่วพริกเกลือครับ อร่อยมากเหมือนกัน
– หอยเชลล์ฮอกไกโดสอดไส้กุ้งบดซอสครีมมะนาว ยกให้เป็นจานประจำวันครับ ชุ่มฉ่ำมากด้วยเนื้อหอยและกุ้งผสมกัน รสชาติผสมผสานความเค็ม เปรี้ยว หวาน ครับ
– เนื้อสันในออสเตรเลียผัดพริกไทยดำ เนื้อหั่นเต๋าผัดแบบไม่สุกเกินไป อร่อยมากเมื่อไปผัดกับเครื่องเทศ
– หนังปลากรอบผัดซอสไข่เค็ม เมนูสำหรับคนที่คิดถึงหนังปลากรอบไข่เค็มแบบซองจากสิงคโปร์ อันนี้เรียกได้ว่าเป็นขั้นกว่าของแบบนั้นครับ อร่อยกรุบกรอบ
– แมงกระพรุนซอสเอ็กซ์โอ หอมน้ำมันงา ผสมกับรสชาติเค็มปะแล่ม กลมกล่อมครับ

ถ้านึกถึงอาหารจีนสไตล์กวางตุ้ง ที่นี่เป็นอีกห้องที่ควรมาลองครับ ถ้ามาเสาร์อาทิตย์ที่นี่จะจองเต็มหมด แนะนำโทรจองล่วงหน้าก่อนเข้ามารับประทานนะครับ อีกเรื่องที่อยากฝาก อาหารจีนรับประทานนาน ๆ ทีพอนะครับ อาหารจีนขึ้นชื่อเรื่องน้ำมันอยู่แล้ว แต่ถ้าบ่อย ๆ ผมเกรงว่ามันอาจจะมีแคลอรีที่สูงเกินไปนิดนึง รับประทานแต่พอดี แค่อร่อยพอนะครับ เป็นห่วง

ประสบการณ์การรับประทานอาหารนั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องของประสาทสัมผัสเท่านั้นครับ เรื่องราวเรื่องเล่าต่าง ๆ ที่แต่ละร้านนำเสนอ เป็นคาแรกเตอร์พิเศษของแต่ละที่ที่อยากจะส่งต่อให้กับแขกทุกท่านครับ ยังมีอีกหลายห้องอาหารที่น่าสนใจ ไว้ครั้งหน้า ผมสัญญาว่าจะมาอัพเดตให้ฟังบ่อย ๆ นะครับ
ฝาก #PYONGsDish สำหรับคลังร้านอาหารที่ผมได้ไปมา ตาม hashtag กันไปพบกันร้านต่าง ๆ ได้ทั้งทาง Facebook และ Instagram ได้เลยครับ
พบกันใหม่ครั้งหน้า วันนี้ สวัสดีครับ
เปียง