10 YEAR – CHALLENGE AND ME

ว่าด้วยเรื่องของ จุดเปลี่ยน

10 YEAR – CHALLENGE AND ME

สืบเนื่องมาจากเรื่องที่ผมถูกเชิญไปเป็นวิทยากรในงาน TRIAMTALK2019 ในหัวข้อ ‘Change จุดเปลี่ยนสู่ความสำเร็จ’ ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ช่วงวันเด็กที่ผ่านมา ผมจึงอยากจะนำมาเขียนเป็นบทความตัวหนึ่งที่เล่าเกี่ยวกับชีวิตเมื่อราวๆ 10 ปีก่อนของผม เผื่อจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครๆ ที่อ่านตามนะครับ

เด็กผู้ชายเรียบร้อยคนหนึ่งที่นั่งอยู่มุมห้อง พูดไม่เก่ง ถนัดในการพยักหน้าและยิ้มน้อยๆ มากกว่า ไม่สู้คน ไม่มีความมั่นใจ สิ่งเดียวที่เด่นที่สุด ก็คือ ส่วนสูง ที่ทำให้เขาต้องอยู่ยืนท้ายแถวตลอด

นั่นแหละครับ ผมในช่วง 10 กว่าปีก่อน

10 กว่าปีที่แล้ว เด็กคนนั้นกับเปียงคนนี้ก็มีอะไรที่แตกต่างกันมากอยู่ครับ ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองมีอะไรที่เก่งกว่าคนอื่น หรือมีความเป็นเลิศในบางศาสตร์หรอก แต่สิ่งที่ผมคิดว่าผมมีและอยากเอามาเล่าต่อ คือเรื่องของความพยายาม และ ความมีวินัย ที่จะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นในทุกๆ วันต่างหาก
ผมมีความชื่นชอบงานศิลปะมาตั้งแต่เด็ก มีโอกาสได้ฝึกฝนอยู่ตลอดครับ สมัยนั้นผมเล่นกีฬาไม่ค่อยเป็น ดนตรีก็เล่นไม่ได้ พูดก็ไม่เก่ง เลยคิดว่าตัวเองทำเกี่ยวกับงานศิลปะพวกนี้ได้ดีกว่าทักษะอื่นๆ บุคคลิกที่ค่อนข้างเก็บตัวแบบผมทำให้ผมมีเพื่อนสมัยเด็กๆไม่มากนัก ผมยังจำได้ดีครับ สมัยนั้นผมเคยรู้สึกอิจฉาเพื่อนที่พูดเก่งๆ ด้วยซ้ำ เราเองก็อยากเป็นคนที่อยู่ตรงนั้นบ้าง เป็นที่สนใจบ้าง พูดแล้วมีคนฟังบ้าง ผมได้แต่คิดในใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นอย่างไร

เหตุการณ์เกิดขึ้นสมัยผมเข้าโรงเรียนวันแรก ในชั้น ม.4 ครับ เหตุการณ์วันนั้นมันยังชัดเจนในความทรงจำ เหมือนวิดีโอเล่นในหัวเลยล่ะ ผมคิดว่า นั่นคือจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ทำให้เรามีโอกาสได้เป็นตัวเองในเวอร์ชั่นนี้ครับ ครูประจำชั้นให้คนในห้องเลือกตำแหน่งต่างๆ แต่ละตำแหน่งไล่ไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ หัวหน้าห้อง รองหัวหน้าห้อง เลขา เหรัญญิก และมีหยุดตรงที่ ‘หัวหน้าฝ่ายศิลป์’

เวลาผ่านไปกว่า 3 นาที ไม่มีใครยกมือขึ้นเลยซักคน

คุณอาจจะไม่เข้าใจสิ่งที่ผมพูดมากนัก แต่คนที่ไม่กล้าแสดงออกแบบผม การที่จะเข้าไปคุยกับเพื่อนคนใหม่ซักคน หรือการยกมือตอบอะไรให้ห้อง มันเป็นอะไรที่ต้องใช้ความกล้าอย่างมากครับ ผมใจเต้นแรงมาก จำได้ว่าหน้าร้อนผ่าวไปหมด เด็กมุมห้องคนนั้นนั่นแหละ ที่อยากจะเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้น และ ผมยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้ชัดเจน

ผมยกมือครับ

สำหรับผม มันคือความท้าทายที่สุดในชีวิต แม้จะเป็นแค่ตำแหน่งเล็กๆ ในห้องเรียนห้องหนึ่งในโรงเรียนขนาดใหญ่ก็ตาม แต่ผมไม่เคยรู้เลยครับ ว่านั่นทำให้ชีวิตหลังจากนั้นของผมเปลี่ยนไปตลอดกาล

นั่นถือเป็นการก้าวเข้าสู่โลกของกิจกรรมครั้งแรกของผม ทำให้ผมได้มีโอกาสร่วมงานกับเด็กกิจกรรมคนอื่น ได้พบปะผู้คน ได้พัฒนาทักษะสังคม ต่อยอดหลายโอกาสที่ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะเกิดขึ้นในชีวิต ผมได้มีโอกาสเป็นประธานฝ่ายศิลป์ของสายวิทย์-คณิตย่อย ในปีถัดมาได้พัฒนาเป็นประธานฝ่ายศิลป์ของสี ที่มีนักเรียนหลายร้อยคน และก่อนจบได้เป็นตำแหน่งหัวหน้าห้อง ที่ได้เข้าไปร่วมงานกับทีมฝั่งกรรมการนักเรียน โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา

โอกาสช่วยต่อยอดโอกาสใหม่ๆ ในชีวิตมหาวิทลัย ทำให้ได้เป็นแกนนำในการกิจกรรมต่างๆของคณะแพทยศาสตร์จุฬาฯ หลายกิจกรรม รวมถึงตำแหน่งประธานชั้นปี และ รองประธานชั้นปีอีกด้วย และดำรงดำแหน่ง ฑูตกิจกรรม แห่ง คณะแพทยศาสตร์จุฬาฯ ก่อนจบการศึกษา
อย่างที่ผมบอกแหละครับ เราไม่มีทางรู้หรอกว่าจริงๆแล้ว อะไรที่รอเราอยู่ข้างหน้า สิ่งที่เราทำได้คือตั้งใจทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด ตั้งใจที่จะทำให้ตัวเองดีขึ้นในทุกๆวัน เพราะโอกาสจะมาหาคนที่พร้อมเสมอ เราไม่มีทางรู้ว่าโอกาสนั้นคืออะไร หรือโอกาสนั้นจะดูตรงกับเป้าหมายของเราหรือเปล่า แต่สำหรับผม ถ้ามันตรงกับทั้ง 4 ข้อนี้ ผมมีแนวโน้มที่จะรับโอกาสใหม่นั้นๆเสมอ

มันเป็นตัวเรา
เราอยากทำ
เรายังทำมันไหว
และ มันไม่ทำร้ายผู้อื่น

วันหนึ่งธรรมชาติจะเหวี่ยงสิ่งที่ดีที่สุด และเหมาะสมมากที่สุด ให้กับคนที่ตั้งใจและชัดเจนในตัวเองมากที่สุดครับ ผมมีความเชื่อแบบนั้น
10 ปีผ่านไปแล้ว 10 ปีข้างหน้าไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง วันนี้ประสบการณ์ชีวิตผมยังน้อยมาก แต่นั่นแหละครับ ประวัติศาสตร์หน้าใหม่กำลังเริ่มขึ้นแล้วในยุคของพวกเรา
แล้วคุณล่ะ ได้เริ่มต้นเปลี่ยนตัวเองบ้างหรือยัง

เปียง

PS. ขอบคุณครอบครัว ผู้ใหญ่ทุกท่าน เพื่อนๆ และบุคคลใกล้ชิดทุกคนที่เป็นแรงผลักดันให้ผมอยากทำอะไรใหม่ๆ ในทุกๆวัน