A GLIMPSE OF CHIANG RAI : Part II Chiang Saen

สวัสดีครับ ผมเปียง ขณะนี้ผมอยู่ที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงรายครับ ผมจะพาทุกท่านเดินทางข้ามผ่านเวลาไปยังสถานที่ท่องเที่ยวในความทรงจำของพวกเราในวัยเด็ก “สามเหลี่ยมทองคำ” สถานที่แสนคุ้นเคยในวิชาภูมิศาสตร์กับประวัติศาสตร์ ที่ปัจจุบันกาลเวลาได้เปลี่ยนแปลงพื้นที่นี้ให้ถูกจดจำในมุมใหม่ ผมจะนำทุกคนไปสัมผัสกับความสวยงามริมฝั่งแม่น้ำโขงบนเรือหางยาว อยากพาไปส่องสำรวจกันครับ ว่าบรรยากาศของบ้านเมืองในจุดบรรจบของแม่น้ำที่เป็นจุดเชื่อมสำคัญของประเทศไทย ลาว และ เมียนมาร์ เป็นอย่างไรกันบ้างในปัจจุบัน

สำหรับใครที่ชอบวิชาประวัติศาสตร์ไทยน่าจะเคยได้ยินชื่อของเชียงแสนอยู่บ่อยครั้งในหนังสือเรียนครับ ด้วยทำเลและความอุดมสมบูรณ์ของเชียงแสนทำให้เมืองนี้เป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางในการติดต่อค้าขายระหว่างประเทศตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นอกจากสามเหลี่ยมทองคำแล้ว ผมอยากจะพาทุกคนสำรวจร่องรอยประวัติศาสตร์ ของกำแพงเมืองเชียงแสนกำแพงเมืองโบราณที่มีสภาพสมบูรณ์ครบถ้วนที่สุดแห่งหนึ่งของแคว้นล้านนา วัดพระธาตุผาเงาวัดสำคัญ ที่สะท้อนศิลปะเชียงแสนแท้ ๆ ให้เห็นได้ประจักษ์ชัดที่สุด และสถานที่ตามธรรมชาติอย่างทะเลสาบเชียงแสน พื้นที่อุ้มน้ำอุดมสมบูรณ์แสนสงบ ที่มีลักษณะพิเศษคล้ายเกาะแก่งมากมายสลับชั้นกันอย่างสวยงาม เหมาะกับการมานั่งพักผ่อนริมน้ำ ซึมซับแสงตะวันที่กำลังค่อย ๆ ลับขอบฟ้าครับ

ในช่วงเวลา 2 วัน 1 คืนที่ผมอยู่เชียงแสน คงเป็นช่วงเวลาที่ผมอยากจะนำเสนอเชียงแสนในมุมใหม่ที่หลาย ๆ คนอาจจะคาดไม่ถึง พร้อมกับเรื่องราวน่ารู้ที่ผมเก็บมาฝากตลอดเส้นทางที่จะทำให้เรื่องประวัติศาสตร์เดิม ๆ ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป แล้วเราไปค้นพบ Unseen เชียงแสนกับผมกันนะครับ

ขอขอบคุณ Giorgio Armani สำหรับการเป็นผู้สนับสนุนทริปในวันนี้ กับ Acqua di Giò Eau de Parfum ตัวเลือกใหม่ของผมสำหรับวันเดินทางสบาย ๆ ครับ

เปียง

A GLIMPSE OF CHIANG RAI 
Part II Chiang Saen

เรือ Prince of The Mekong River เรือบริการท่องเที่ยวแม่น้ำโขง

ผมชอบทุกครั้งเวลาที่เราเดินทางไปสถานที่ที่เราไม่เคยไปเยือน การได้เปิดหน้าต่างรับลมที่เข้ามาปะทะ กับเห็นวิวธรรมดา ๆ ระหว่างทาง คือองค์ประกอบการเดินทางที่แฝงความตื่นเต้นไม่น้อยเลย การได้เจอความสวยงามข้างทางแบบไม่คาดคิด ก็เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของการเดินทางในทริปนี้ครับ

ในการเดินทางครั้งนี้ผมเลือกที่จะหยิบ Acqua di Giò Eau de Parfum มาใช้ครับ น้ำหอมตัวล่าสุดของ Giorgio Armani ที่ให้ความรู้สึกสดชื่น ปลุกเร้าให้มีชีวิตชีวา อบอุ่น และคงทน เหมาะกับการใช้ในวันสบาย ๆ ของผม

Acqua di Giò Eau de Parfum
WHEN I FACE THE SEA, I LOSE MY SENSES IN THE INFINITY OF THE HORIZON:
NO BOUNDARIES, NO PRESSURE, NO CONSTRAINTS.

วันนี้ผมเริ่มขับรถออกจากตัวเมืองเชียงรายมุ่งขึ้นเหนือไปทาง ถนนเวียงบูรพา สู่ตัวเมืองอำเภอเชียงแสน เส้นทางบายพาสระหว่างเมืองสายนี้ เดินทางสะดวกครับ ถนนหมายเลข 1063 เป็นถนนสายใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเชื่อมต่อระหว่างท่าเรือเชียงแสนที่รับสินค้าจากจีนให้มาส่งสินค้าที่เชียงรายได้สะดวกยิ่งขึ้นครับ มีรถผ่านสัญจรเป็นจำนวนไม่น้อย

วงเวียนเชียงแสน

ที่บริเวณวงเวียนนครเชียงแสน ทางอำเภอได้สร้างประติมากรรมช้างงูขึ้น เป็นเสมือนประตูต้อนรับผู้มาเยือน ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากตำนานเก่าแก่ของเมือง ตามตำนานเล่าว่า เจ้าเมืองเชียงแสนถูกขอมขับไล่ไปอยู่เวียงสี่ดวง ต่อมาทรงมีพระโอรสนามว่า พรหมกุมาร เมื่อเจริญพระชันษาได้ 13 ปี ทรงสุบิน (ฝัน) ว่า หากพระองค์ไปล้างหน้าที่แม่น้ำโขงจะพบช้าง 3 ตัว หากจับตัวแรกได้จะมีบุญบารมีปราบศัตรูได้ 4 ทวีป หากจับตัวที่ 2 ได้จะปราบศัตรูได้ถึงชมพูทวีป และหากจับได้ตัวที่ 3 ได้จะปราบขอมดำและยึดเชียงแสนกลับมาได้ครับ 

รุ่งเช้าวันต่อมา จึงเสด็จไปยังแม่น้ำโขง ทอดพระเนตรเห็น งูใหญ่ลอยตามน้ำมา 3 ตัว พระองค์และขุนนางจึงเข้าจับงูตัวที่ 3 ทันที งูนั้นเมื่อต้องพระวรกายก็แปรสภาพเป็น ช้างเผือกที่มีอิทธิฤทธิ์มาก ต้องนำพานทองคำมาล่อถึงจะยอมขึ้นฝั่ง จึงได้ชื่อว่า ช้างพานคำ ซึ่งในเวลาต่อก็ทรงมีชัยเหนือขอมดำยึดเมืองเชียงแสนกลับมาได้สำเร็จ เมื่อเสร็จสงคราม ช้างพานคำ ก็กลับเป็นงูใหญ่เลื้อยกลับไปยังป่า กลายร่างเป็นดอยช้างงูหรือดอยสะโง้ในปัจจุบันครับ และในช่วงเวลาต้นชั่วโมงของ 18:00 – 21:00 ของทุกวัน ประติมากรรมจะบรรเลงเพลง พิลาสเชียงแสนและสาวเจียงฮาย ไปพร้อม ๆ กับระบำน้ำพุเปลี่ยนสี เป็นเวลา 14 นาทีครับ 

Reference: https://bit.ly/3tgE3RC

จุดมุ่งหมายแรกของผมก่อนพระอาทิตย์ตกดิน การไปชมวิวแม่น้ำโขงบริเวณสามเหลี่ยมทองคำในช่วงเย็นครับ และนี่คือบรรกาศบ้านเมืองริมแม่น้ำโขงก่อนถึงจุดหมายแรกของเรา

THE LAND OF THREE COUNTRIES: GOLDEN TRIANGLE

จากวงเวียนเชียงแสน ผมขับรถต่อมาเรื่อย ๆ บนถนนหมายเลข 1290 มุ่งหน้าไปยัง สามเหลี่ยมทองคำ สถานที่ชื่อดังที่เราคุ้นชินชื่อนับตั้งแต่ไหนแต่ไร พื้นที่ในบริเวณนี้เป็นช่วงรอยต่อระหว่างประเทศไทย ลาว และ เมียนม่าร์ เป็นจุดบรรจบกันระหว่างแม่น้ำโขงและแม่น้ำรวกครับ

ก่อนที่ความเจริญจะเข้ามาเหมือนในปัจจุบัน ในช่วงทศวรรษที่ 1950 สามเหลี่ยมทองคำถูกรู้จักว่าเป็นแหล่งลักลอบปลูกฝิ่นและเฮโรอีนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นที่ซ่องสุมกำลังของชนกลุ่มน้อยที่มีกองกำลังติดอาวุธหลายกลุ่ม คอยลำเลียงฝิ่นจากไทยไปยังต่างประเทศ โดยฝิ่นจะถูกแลกเปลี่ยนด้วยทองคำในน้ำหนักที่เท่ากัน จึงเป็นที่มาของชื่อ สามเหลี่ยมทองคำครับ ในปัจจุบันสามเหลี่ยมทองคำไม่ได้น่ากลัวเหมือนดังในอดีตครับ ความเจริญได้เข้ามายังพื้นที่ เปลี่ยนบทบาทของพื้นที่นี้ให้เป็นแหล่งเศรษฐกิจสำคัญ ในการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างประเทศ จะเห็นได้จากความเจริญทั้งในฝั่งของไทยและลาวที่ก้าวหน้าไปไกลเกินกว่าจะย้อนกลับ 

ถัดจากจุดชมวิวมาไม่ไกล เราจะเห็นพระพุทธรูปนวล้านตื้อองค์ใหญ่ประดิษฐานบนสิ่งก่อสร้างรูปเรือตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำโขง พระพุทธรูปองค์นี้เป็นองค์จำลองมาจาก พระเจ้าล้านตื้อ พระพุทธรูปที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากที่สุดของแคว้นเชียงแสนโบราณ ซึ่งตามตำนาน องค์พระได้ประดิษฐานอยู่วัดแห่งหนึ่งบนเกาะดอนแท่น พื้นที่อาศัยของคนเชียงแสนยุคโบราณ ความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระได้เป็นตัวกลางในการรวบรวมจิตใจของคนทั้งสองฝั่งริมแม่น้ำโขงให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ในเวลาต่อมาแม่น้ำโขง เปลี่ยนเส้นทางไหลไปอีกทาง ทำให้พื้นที่บริเวณวัดจมลงฉับพลัน องค์พระได้จมลงไปพร้อมกับเกาะดอนแท่น ทำให้ผู้คนสองฝั่งโขงขัดแย้งจนต่างคนต่างอยู่ในที่สุด ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าสักวันองค์พระจะกลับสู่เมืองเชียงแสนอีกครั้งครับ 

โดยองค์พระพุทธรูปนวล้านตื้อ ได้รับการออกแบบโดย อ. ถวัลย์ ดัชนี และ อ. เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ อยู่ในปางมารวิชัย ในศิลปะแบบเชียงแสนโบราณ ประดิษฐานอยู่บนเรือแก้วกุศลธรรม เรือรูปหงส์ขนาดใหญ่ สื่อความหมายถึง “การนำพาผู้มีจิตศรัทธาในพุทธศาสนาไปสู่ยุคของพระศรีอริยเมตไตรยพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายแห่งภัทรกัป ยุคที่สงบสุขและรุ่งเรืองโชติช่วงที่สุดในกัปปัจจุบัน” 

หลังจากสักการะพระพุทธรูปนวล้านตื้อแล้ว ต่อมาผมจะพาทุกคนมาชมสามเหลี่ยมทองคำในมุมใหม่ ๆ กันครับ

ผ่านการล่องเรือหางยาวในแม่น้ำโขงครับ เราจะเห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ บริเวณปากแม่น้ำที่มาบรรจบกัน เราจะสังเกตเห็นสีของน้ำที่แยกชั้นกันชัดเจนระหว่างแม่น้ำรวกสีใส และแม่น้ำโขงสีตะกอนขุ่น สายน้ำที่มีความสำคัญกับทุกชีวิตเสมือนสายเลือดใหญ่ที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงชีวิตริมฝั่งนับล้านชีวิต

สามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย

THE SEA, INFINITELY: GIORGIO ARMANI ACQUA DI GIO HOMME PROFONDO

ทุกการเดินทางล้วนมีเรื่องราวที่ต่างกันไปครับ ความรู้สึกผ่อนคลายและสงบของสายน้ำก็ชวนให้คิดถึงการเดินทางในครั้งที่ผ่านมา และ ในการเดินทางครั้งนี้ผมเลือกที่จะหยิบ Acqua di Giò Eau de Parfum มาใช้ครับ น้ำหอมตัวล่าสุดของ Giorgio Armani ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการนำเอาความหอมอันเป็นสัญลักษณ์ โดดเด่นและเป็นที่จดจำ นำมาตีความใหม่ ให้กลายเป็นเอกลักษณ์ใหม่ที่สดชื่น ปลุกเร้าให้มีชีวิตชีวา อบอุ่น และคงทน เหมาะกับการใช้ในวันสบาย ๆ ของผม

Alberto Morillas สุคนธรของ Firmenich ได้ปรุงกลิ่นนี้ขึ้นโดยไม่ละทิ้งความมีชีวิตชีวาของผลส้มจีนอ่อน (Green Mandarin) อันเป็นตัวตนของไลน์ Acqua Di Giò แต่ขับออกมาให้โดดเด่นยิ่งขึ้นผ่านการประสานเข้ากับกลิ่นอายทะเล ชวนให้รู้สึกถึงความสนุก สดชื่น ตามฉบับของ Giorgio Armani ครับ

หลังจากช่วงเปิดห้วงเวลาแรกผ่านไป กลิ่นหอมสดชื่นอบอุ่นในแบบมิเนอรัลก็ได้เผยตัวตนออกมาผ่านกลิ่นของดอก Clary Sage ที่ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับกลิ่นอายของอำพันทะเล (Ambergris) กลมกล่อมไปกับกลิ่นฟลอรัล ชวนให้เห็นถึงเสน่ห์ที่แท้จริง ของผู้ชายอบอุ่นสุขุมนุ่มลึก แต่ซ่อนไว้ซึ่งความเย้ายวน และความมั่นใจในแบบของตัวเอง กำลังเชื้อชวนให้เข้ามาค้นหาได้เป็นอย่างดีเลยครับ

ก่อนที่จะปิดท้ายด้วย สัมผัสจากกลิ่นอายความเป็น Woody Aromatic Aquatic จากส่วนผสมที่กลมกล่อมของไม้ Cedarwood หญ้าแฝก และดอก Patchouli กับสารสกัด Yodanol ที่แผ่ซ่านอยู่ในทุกอณูของกลิ่น ก็เป็นส่วนเสริมให้บทสรุปของกลิ่นยังคงไว้ซึ่งเสน่ห์ลุ่มลึก ตราตรึงยาวนาน เป็นที่น่าจดจำยิ่งขึ้นครับ 

โดยส่วนตัวแล้ว Acqua Di Giò Eau De Parfum คือหนึ่งในน้ำหอม Classic ที่มีเสน่ห์ไร้กาลเวลาครับ ผมชอบในกลิ่นที่ให้ความรู้สึก สะท้อนตัวตนของผมในการเดินทาง เสน่ห์ในแบบของการเดินทางที่ต้องตื่นตัว และ ค้นหาสิ่งใหม่ สำหรับผมถือว่าเป็นหนึ่งในน้ำหอมที่เหมาะกับการหยิบมาใช้ได้ในชีวิตประจำวันหรือวันเดินทางสบาย ๆ ครับ

สามารถช้อปได้แล้วที่ Armani beauty ทุกสาขาหรือ chat shop คลิก https://bit.ly/3LQK0vy
#น้ำหอมAcquaDiGioอิสระแห่งท้องทะเล
#น้ำหอมไอคอนในตำนาน

บรรยากาศบนเรือ

วิวริมแม่น้ำโขง

หลังจากแล่นเรือต่อขึ้นมาทางเหนือได้ไม่นาน ก็จะเจอกับโรงแรม Golden Triangle Paradise Resort โรงแรมริมแม่น้ำฝั่งเมียนม่าร์ ที่ตั้งอยู่ใจกลางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ของเมียนม่าร์ ซึ่งการพัฒนาในฝั่งของเมียนม่าร์ในปัจจุบัน จะยังไม่มีโครงการพัฒนาในบริเวณปากแม่น้ำสักเท่าไหร่ครับ แต่ก็มีการพัฒนาถนน ปรับที่ดินรอการพัฒนาในอนาคตอีกไม่นานนี้ครับ

เราจะเห็นได้ถึงผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ยาวฝั่งเมียนม่าร์ ตลอดเส้นทางมีเรือเดินทางสัญจรไปมาต่อเนื่อง ซึ่งหากเราเดินทางขึ้นไปทางแม่น้ำโขงเรื่อย ๆ จะสามารถเดินทางต่อไปถึงแคว้นสิบสองปันนา ใต้สุดของมณฑลยูนนาน ประเทศจีนครับ

หลังจากนั้นไม่นาน คนขับก็หักเลี้ยวเรือกลับมาเพื่อให้เราได้ชมกับความเจริญของฝั่งลาว ที่ในปัจจุบันคือเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ พื้นที่สัมปทานที่รัฐบาลลาวเปิดประมูลให้บริษัทดอกงิ้วดำ กลุ่มธุรกิจคาสิโน เข้ามาเช่าพื้นที่ขนาด 102 ตารางกิโลเมตร เป็นระยะเวลา 99 ปี โดยมีเป้าหมายที่จะพัฒนาพื้นที่บริเวณนี้ให้เป็นศูนย์รวมทางการค้าและการท่องเที่ยว สร้างและพัฒนาสถานบันเทิงใหญ่ครบวงจร 

ในระยะแรกทางโครงการจะเน้นไปที่การพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐาน เช่น บ่อนคาสิโนถูกกฏหมายเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเสี่ยงโชค และพักผ่อนในเมืองจำลองที่ตกแต่งจำลองมาจากพระราชวังต้องห้าม โดยนักท่องเที่ยวชาวไทยสามารถแวะไปเสี่ยงโชคได้ จากด่านพรมแดน ไทย-ลาว บริเวณจุดผ่านแดนถาวรสามเหลี่ยมทองคำ จะมีเรือรับส่งไปยังคาสิโนฟรี เสียเพียงค่าเอกสารผ่านแดน 50 บาทเท่านั้นครับ

ก่อนตะวันลับขอบฟ้าที่ฝั่งแม่น้ำโขง ผมขอพาทุกท่านไปชมพระอาทิตย์ตกในจุดที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่นี่ครับ 

SUNSET SPOTS: CHIANG SEAN LAKE

ทะเลสาบเชียงแสนตั้งอยู่ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองบงคาย ห่างจากสามเหลี่ยมทองคำราว ๆ 20 กิโลเมตรมุ่งหน้าทางเหนือไปยังถนนหมายเลข 1290 ราว ๆ 11 กิโลเมตร เลี้ยวเข้าถนนหมายเลข 4004 มุ่งทางไปตำบล โยนก อีกประมาณ 10 กิโลเมตรก็ถึงจุดหมายปลายทางแล้วครับ

ที่ทะเลสาบแห่งนี้เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายของสายพันธุ์นกน้ำทั้งนกอพยพและนกท้องถิ่น เป็นแหล่งที่อยู่หากิน วางไข่ และหลบภัยของนกน้ำที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ พื้นที่โดยรอบของทะเลสาบมีสภาพเป็นเกาะแก่งเป็นแห่ง ๆ คล้ายแผ่นดินยุบตัวลง สามารถเดินลงไปชมวิวได้ครับ

พื้นที่ของทะเลสาบในปัจจุบัน มีความเชื่อว่าในอดีต เป็นพื้นที่ของเมืองโบราณ เวียงโยนกนาคพันธ์ มีตำนานเล่าว่า กษัตริย์จากยูนนานได้นำผู้คนอพยพมายังลุ่มแม่น้ำกก เพื่อสร้างเมืองใหม่ โดยมีพญานาคได้ช่วยดลบันดาลให้สร้างเมืองได้สำเร็จ แคว้นมีความเจริญรุ่งเรืองยาวนานมีกษัตริย์สืบต่อกันมาถึง 45 พระองค์ จนกระทั่งวันหนึ่ง มีชาวเมืองไปพบปลาไหลเผือกขนาดตัวเท่ากับต้นตาลในแม่น้ำ ก็ดีใจและจับนำมาประกอบอาหารแบ่งกันทั้งเมืองยกเว้นแม่ม่ายคนหนึ่ง คืนวันนั้น ก็ได้เกิดแผ่นดินไหว และฝนฟ้าคะนองถล่มเมืองและผู้คนจมลงก้นบาดาลกลายเป็นหนองน้ำ และพื้นที่ที่แม่ม่ายคนนั้นอยู่ไม่ได้จมลงไปกับเมืองจึงถูกเรียกว่า ดอนแม่ม่าย ดังปรากฏเป็นเกาะกลางทะเลสาบในปัจจุบันครับ

วิวพระอาทิตย์ตกดินที่นี่สวยไม่แพ้ที่อื่นเลยครับ

MEKONG RIVERVIEW HOTEL: BANSAEO GARDEN AND RESORT 

สำหรับที่พักในเชียงแสนสำหรับคืนนี้ ผมเลือกมาพักที่ Bansaeo Garden And Resort รีสอร์ตบรรยากาศอบอุ่น ที่อยู่ใกล้โค้งน้ำที่มีแม่น้ำกกและแม่น้ำโขงมาบรรจบกัน ถือว่าเป็นรีสอร์ตที่ออกแบบมาให้เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอย่างแท้จริง

จุดเด่นของรีสอร์ตนี้คือ การที่ตัวรีสอร์ตสร้างลดหลั่นบนเนินริมแม่น้ำโขงครับ ทำให้เราสามารถสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษของทัศนียภาพของริมโขงได้จากระยะใกล้ ๆ 

ช่วงเช้าที่นี่จะมีหมอกลงจาง ๆ เป็นบรรยากาศที่ดูโรแมนติกมาก ๆ และถ้าหากวันไหนไม่มีหมอกก็ยังสามารถมองเห็นวิวภูเขาที่อยู่ฝั่งประเทศลาวได้ด้วยครับ

นอกจากนี้ตัวรีสอร์ตยังอยู่ในพื้นที่สวนผลไม้ปลอดสารพิษและสวนดอกไม้ ในพื้นที่กว่า 30 ไร่ ทำให้ที่รีสอร์ตจะมีผลไม้ปลอดสารพิษให้ทานได้ตลอดทั้งปีครับ

นกยูงที่ทางรีสอร์ตเลี้ยงไว้ มีหลากหลายสายพันธุ์เลยครับ

EVERY SUNDAY: CHIANG SAEN MORNING MARKET

สำหรับใครที่ตื่นเช้า ผมแนะนำให้ลองมาเดินเล่นที่ตลาดเช้าเชียงแสน ที่จะเปิดขายของเฉพาะวันอาทิตย์ เวลา 08.00 – 14.00 ซึ่งเป็นตลาดนัดที่ขายสินค้าท้องถิ่น ทั้งของคนไทย ลาว และชาวเขาชนเผ่าต่าง ๆ

โดยสินค้าที่ขายจะเป็นพวกเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ สินค้าพื้นเมือง งานไม้ ผักผลไม้ สมุนไพร ของป่าหลากหลายครับ ส่วนของดีที่เป็น highlight ก็คือ สาหร่ายแม่น้ำโขงจากฝั่งลาว นำมาประกอบอาหารได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็น ทอด ต้ม หรือยำก็ได้ครับ

บรรยากาศของตลาดในช่วงวันอาทิตย์ครับ

ชาวบ้านนำพืชผักสวนครัวออกมาวางขายกันตามทางเดินตลอดแนวถนนใหญ่ เป็นบรรยากาศดูที่คึกคักดีนะครับ

THE ANCIENT CITY: CHIANG SAEN

หรือถ้าเป็นช่วงยามเย็น บรรยากาศของพื้นที่ริมแม่น้ำก็คึกคักไม่แพ้กัน ร้านค้าอาหารริมแม่น้ำยามเย็นเปิดขายกันอย่างคึกคัก ที่นี่จะมีถนนคนเดินที่จะเปิดขายทุกวันเสาร์อาทิตย์ด้วยนะครับ สามารถมาฝากท้องหลังจากกลับมาจากฝั่งลาวได้ คงจะดีไม่น้อยเลยครับถ้าได้เสพบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดินยามเย็นที่สามเหลี่ยมทองคำไปพร้อมกับจิ้มจุ่มรสเด็ดริมน้ำ

บรรยากาศเงียบสงบริมแม่น้ำโขง หากในช่วงเวลาปกติก่อนช่วงสถานการณ์โรคระบาดจะมีความจอแจกว่านี้มากครับ

HUGE TEMPLE COMPLEX: WAT PHRA DHAT PHA-NGAO

หลังจากที่ผมเดินเล่นชมวิถีชีวิตและตลาดนัดแล้ว ถัดมาไม่ไกลมาก ก็จะเป็นวัดที่อยู่บนฝั่งแม่น้ำโขงทางฝั่งตะวันตก ตรงข้ามกับประเทศลาว ถือว่าเป็นหนึ่งในวัดที่มีความสำคัญของอำเภอเชียงแสน โดยที่มาของชื่อ “ผาเงา” มาจากเงาของก้อนผา ก้อนหินก้อนนี้มีขนาดใหญ่ทรงคล้ายเจดีย์ เวลาพระอาทิตย์ส่องผ่านก้อนหินทำให้เกิดเงาขนาดใหญ่ ชาวบ้านจึงเรียกว่า พระธาตุผาเงา แต่ในสมัยก่อนนั้นวัดมีชื่อเดิมว่า วัดสบคำ ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงได้พังทลายจากแรงกระแสน้ำ ทำให้วัดถูกพัดพังทลายลงเกือบหมดวัด คณะศรัทธาจึงได้สร้างวัดขึ้นมาใหม่

“พระธาตุผาเงา” มีลักษณะเป็น พระธาตุขนาดเล็กทรง 8 เหลี่ยม เป็นการออกแบบจากศิลปะล้านนา สร้างขึ้นบนก้อนหินขนาดใหญ่มาก ซึ่งมีก้อนหินใหญ่อีกก้อนนอนลาดอยู่ ดูเหมือนกับเป็นเงาของพระธาตุ 

Reference: https://bit.ly/3axyE2k

หลวงพ่อผาเงา เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นศิลปะสมัยเชียงแสนสิงห์สาม ขนาดหน้าตักกว้าง 40 นิ้ว มีอายุระหว่าง 700 – 1,300 ปี แต่เดิมจะมองไม่เห็นหลวงพ่อผาเงาองค์นี้ เพราะถูกครอบด้วยพระพุทธรูปอีกองค์ที่ใหญ่กว่า

บริเวณราวบันไดด้านหน้าที่วิหารหลวงพ่อผาเงา จะถูกแกะสลักเป็นรูปพญานาค 

เวลาเดินเข้าไปภายในวิหาร จะพบกับความอลังการของประติมากรรมฝาผนัง ที่จะเล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติและสัตว์ป่าหิมพานต์ ซึ่งประตูและหน้าต่างของวิหารทำจากไม้สักแกะสลักสวยงาม ลวดลายเกี่ยวกับประเพณีเดือนสิบสองของชาวล้านนา เป็นการผสมผสานศิลปะกันอย่างลงตัวครับ

วัดแห่งนี้มีความเชื่อว่า ผู้ใดที่มาสักการะ ขอพรที่ “วัดพระธาตุผาเงา” จะช่วยให้หายจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วย โรคที่เป็น จะทุเลาเบาลง และยังเชื่อกันอีกว่า การได้มาสักการะพระธาตุผาเงา จะได้รับโชคลาภอย่างที่ขอครับ

หลังจากสักการะแล้ว ถ้าข้ามมาฝั่งตรงข้ามจะมีหอพระไตรปิฎกเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ที่ออกแบบสไตล์ล้านนา สร้างจากไม้สักทั้งหลัง ส่วนพื้นและราวระเบียงตกแต่งด้วยหินอ่อนครับ

THE HIDDEN GEM OF CHIANG SEAN : ATHITA CAFE & RESTAURANT

ถึงเวลาเติมคาเฟอีนกันหน่อยครับ ผมแวะมา Hidden Cafe อย่าง Athita cafe & Restaurant คาเฟ่ที่ซ่อนอยู่ในชุมชน มีทางเข้าที่เป็นซอยเล็ก ๆ ค่อนข้างหายากนิดนึง แนะนำให้สังเกตป้ายกันดี ๆ ครับ 

ตัวคาเฟ่จะอยู่ชั้นล่างของโรงแรม Athita The Hidden Court Boutique hotel ในเมืองเชียงแสน ที่ออกแบบโดยมีการสร้างแนวกำแพงจากอิฐมอญกว่า 1 แสนก้อน ซึ่งมีแรงบันดาลใจมาจากเมืองเชียงแสนสมัยก่อนที่เป็นคูเมืองริมแม่น้ำโขง ที่จะต้องมีการสร้างกำแพงเมืองเพื่อป้องกันข้าศึก และเพื่อจัดการด้านชลประทาน 

บรรยากาศภายในร้านจะค่อนข้างรู้สึกสบาย ไม่อึดอัด เพราะว่าได้รับการออกแบบให้มีความโปร่ง โล่ง มีลมพัดผ่านเข้าออกตลอดครับ ที่ร้านจะมีเสิร์ฟเครื่องดื่ม ทั้งชากาแฟออร์แกนิก ที่รับมาจากชาวเขาในท้องถิ่น และรวมถึงยังมีขายอาหารที่จะเน้นไปทางอาหารสุขภาพสไตล์ล้านนา 

เมนู Iced Americano สำหรับช่วงสาย ๆ ของวันครับ

นอกจากนี้ข้างหลังร้านจะยังเป็นที่ตั้งของ วัดอาทิต้นแก้ว ซึ่งเป็นวัดโบราณอายุกว่า 500 ปี ที่เคยเป็นสถานที่สังคายนาพระไตรปิฎก และบวชกุลบุตร-กุลธิดาเกือบพันรูป ทำให้วัดอาทิต้นแก้วจึงเป็นวัดที่มีความสำคัญมาก ๆ ในช่วงสมัยนั้น แต่ปัจจุบันกลายเป็นวัดร้างไปแล้วครับ

CITY WALL: CHIANG SAEN 

ก่อนที่เราจะเดินทางออกจากเมืองเชียงแสน ผมสังเกตเห็นกำแพงเมืองโบราณ สลับทับซ้อนกันไปร่วมกับชุมชนสมัยใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นตามกาลเวลาและความเจริญของเมือง ความเป็นเมืองของเชียงแสนก่อเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์เสียอีกครับ มีการค้นพบเครื่องมือหินกะเทาะ และเครื่องมือหินขัดอายุกว่า 10,000 ปี เป็นจำนวนมากในพื้นที่ของเมือง ก่อนที่จะมีตัวตนในเอกสารทางประวัติศาสตร์เป็นครั้งแรกเป็นในช่วงยุคสมัยของพญาแสนภู ที่ทรงมีดำริให้สร้างเมืองเชียงแสนขึ้นในปี พ.ศ. 1871 เพื่อให้เป็นเมืองศูนย์กลางการค้าตอนเหนือ คอยแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างอาณาจักรล้านช้าง และอาณาจักรมอญโบราณ ด้วยความสำคัญทางภูมิศาสตร์และยุทธศาสตร์ ทำให้พญาแสนภูจึงโปรดให้ขุดคูเมืองล้อมรอบเมืองบรรจบกับแม่น้ำโขงเป็นอาณาเขต ก่อสร้างเป็นกำแพงแนวยาว 4 ทิศครับ 

กำแพงเมืองถูกสร้างขึ้นในลักษณะกำแพงซ้อนกัน 2 ชั้น คั่นด้วยคูน้ำทอดตัวล้อมรอบตัวเมืองชั้นแรก เริ่มถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ในแง่ของระบบชลประทานสมัยโบราณ คอยขนส่งน้ำจากแม่น้ำโขงเข้ามาหล่อเลี้ยงชีวิตภายในเมือง ก่อนที่จะพัฒนาให้ใช้ประโยชน์ในเชิงทางการทหารในยุคถัดมา ด้วยการสร้างครอบเพิ่มอีกชั้นครับ 

ในปัจจุบันกำแพงเมืองเชียงเเสนได้ผุพังไปตามกาลเวลา กำแพงฝั่งริมแม่น้ำในปัจจุบันไม่หลงเหลือหลักฐานให้ศึกษา มีการสันนิษฐานกันว่าถูกแม่น้ำกัดเซาะไปตามกาลเวลา เหลือเพียงกำแพงสมบูรณ์บริเวณทิศเหนือของเมือง และป้อมอีกเพียง 5 แห่งเท่านั้นครับ

CONCLUSION

และผมขอปิดด้วยภาพสุดท้ายของผมก่อนออกจากเชียงแสนครับ 

การเดินทางมาเชียงแสนของผมในครั้งนี้ เป็นเหมือนการเติมเต็มภาพจำของสามเหลี่ยมทองคำในวัยเด็ก ตอนนั้นเราทำได้แค่นั่งคิดจินตนาการถึงความสวยงามของสถานที่ผ่านตัวอักษรในหนังสือเรียน ภาพที่ถูกบีบแคบให้เห็นเพียงกรอบสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ บนหน้ากระดาษ ถูกขยายออกให้เห็นถึงรายละเอียดต่าง ๆ ที่มีมากไปกว่าที่เราเคยคิด 

เมื่อผมได้มองเห็นในมุมที่กว้างขึ้น เชียงแสนกลับมีอะไรให้ค้นหามากกว่าแค่พื้นที่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น” ก็คงเป็นคำเปรยที่ไม่เคยเกินจริงเลยสำหรับการมาเยือนเมืองเล็กเมืองนี้ เมืองที่ไม่ได้มีดีแค่ประวัติศาสตร์ที่จารึกให้เห็นดังเช่น กำแพงเมือง หรือศิลปะอันเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวตามศาสนสถานต่าง ๆ แต่กลับเต็มไปด้วยเสน่ห์ของความคุ้นเคย ที่รอเรามาเยือน เพื่อเติมเต็มและสัมผัส ผมชอบที่จะได้ค้นพบสถานที่ใหม่ ๆ นอกเหนือไปจากสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง ค้นพบมุมมองใหม่ที่น่าสนใจไม่แพ้กับสิ่งเดิม ๆ ผมได้เห็นแสงสุดท้ายของวันที่ทะเลสาบเชียงแสน มุมสวยงามแสนลึกลับที่ผมอยากชวนให้ทุกคนได้ลองไปสัมผัสด้วยตาสักครั้ง ผมได้เห็นวิถีชีวิตชุมชนยามเช้าที่มีชีวิตชีวา ที่ตลาดยามเช้า สีสันแสบตาและรูปทรงประหลาดของรถตุ๊กตุ๊กสกายแลป ผมอยากให้ทุกคนลองใช้เวลาสักวันสองวันกับเมืองเมืองนี้ แล้วคุณจะเห็นถึงเสน่ห์เมืองรอง ที่ควรค่าแก่การมาลองสักครั้งครับ 

เรื่องราวต่อจากนี้ไป ผมจะพาทุกคนไปสัมผัสทะเลหมอกยามเช้าบนแหล่งผลิตกาแฟชั้นดีของประเทศกับ Part สุดท้ายของเรื่องราวในจังหวัดเชียงรายครับ ที่ ดอยช้าง ไว้รอติดตามบทสรุปของการเดินทางครั้งนี้ได้ เร็ว ๆ นี้นะครับ

เปียง